บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “BBB” ด้วยแนวโน้ม “Positive” หรือ “บวก” โดยอันดับเครดิตสะท้อนความสามารถของบริษัทในการควบคุมต้นทุนค่าก่อสร้าง การบริหารการเงินที่รอบคอบ และผลงานที่เป็นที่ยอมรับในตลาดบ้านจัดสรรสำหรับผู้มีรายได้ปานกลางถึงต่ำ โดยอันดับเครดิตมีข้อจำกัดจากการเป็นบริษัทขนาดเล็กเมื่อเทียบกับผู้ประกอบการรายอื่นๆที่ได้รับการจัดอันดับเครดิตเช่นกัน ตลอดจนลักษณะของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นวงจรขึ้นลง และต้นทุนค่าก่อสร้างที่ปรับตัวสูงขึ้นซึ่งเป็นผลจากราคาวัสดุก่อสร้างและค่าจ้างขั้นต่ำที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Positive” หรือ “บวก” สะท้อนถึงความคาดหวังว่าบริษัทจะสามารถปรับปรุงผลการดำเนินงานให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในระยะสั้นถึงปานกลาง ทั้งนี้ อันดับเครดิตอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหากบริษัทสามารถเพิ่มฐานรายได้และรักษาอัตราผลกำไรไว้ในระดับที่เป็นอยู่ บริษัทจะต้องดำรงอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนให้อยู่ในระดับต่ำเอาไว้ด้วยแม้จะมีแผนลงทุนมากขึ้นในอนาคต ในทางตรงข้าม หากผลการดำเนินงานของบริษัทถดถอยลงจากระดับที่เป็นอยู่ก็อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ต้องมีการปรับลดอันดับเครดิตหรือแนวโน้มอันดับเครดิตลง
ทริสเรทติ้งรายงานว่า บริษัทลลิล พร็อพเพอร์ตี้ก่อตั้งในปี 2531 และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในเดือนพฤศจิกายน 2545 นายทวีศักดิ์ วัชรรัคคาวงศ์และนายไชยยันต์ ชาครกุลเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทในสัดส่วนรวมกัน ณ สิ้นเดือนเมษายน 2555 จำนวน 63% บริษัทเน้นการพัฒนาที่อยู่อาศัยแนวราบประเภทบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์เฮ้าส์ โดยมีราคาเฉลี่ยหลังละ 2.7 ล้านบาทในปี 2554 ส่วนราคาขายเฉลี่ยของคอนโดมิเนียมอยู่ที่ 2.3 ล้านบาทต่อยูนิต ในปี 2554 รายได้จากการขายบ้านเดี่ยวยังคงเป็นรายได้หลักของบริษัทซึ่งคิดเป็นประมาณ 57% ของรายได้รวม ส่วนรายได้จากบ้านแฝดและทาวน์เฮ้าส์คิดเป็นประมาณ 22% และ 23% ตามลำดับ ทั้งนี้ ความสามารถในการควบคุมต้นทุนค่าก่อสร้างทำให้บริษัทมีความได้เปรียบในการเสนอราคาขายบ้านในระดับที่ไม่แพง ในขณะเดียวกันก็ยังมีอัตรากำไรที่ดี
ทริสเรทติ้งกล่าวว่า ในปี 2554 บริษัทลลิล พร็อพเพอร์ตี้มียอดขายเพิ่มขึ้นอย่างมากถึง 2,200 ล้านบาท โดยเพิ่มขึ้น 25% จาก 1,754 ล้านบาทในปี 2553 ทั้งนี้ การออกสินค้าในโครงการใหม่และยอดขายที่ดีขึ้นในโครงการเดิมบางโครงการช่วยเพิ่มยอดขายและรายได้ของบริษัทในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา รายได้รวมของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 1,693 ล้านบาทในปี 2553 เป็น 1,861 ล้านบาทในปี 2554 อย่างไรก็ตาม รายได้ในไตรมาสแรกของปี 2555 ลดลงมาอยู่ที่ 320 ล้านบาท โดยลดลง 9% จากช่วงเดียวกันของปี 2554 การลดลงของรายได้ส่วนหนึ่งเป็นเพราะได้รับผลกระทบจากวิกฤติอุทกภัยครั้งใหญ่ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2554 อย่างไรก็ตาม แม้ว่ารายได้จะลดลง แต่มูลค่ายอดขายในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2555 ยังอยู่ในระดับที่ยอมรับได้ที่ประมาณ 664 ล้านบาท นอกจากนี้ อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทยังคงอยู่ในระดับสูงที่ระดับ 39%-40% ของยอดขายในช่วงปี 2553 มาจนถึงไตรมาสแรกของปี 2555 ในขณะที่อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 24.58% ในปี 2554 ลดลงจาก 27.29% ในปี 2553 เนื่องจากการสิ้นสุดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ทั้งนี้ ภาระหนี้ที่สูงขึ้นจากการขยายโครงการที่มากขึ้นมีผลบั่นทอนความเข้มแข็งของกระแสเงินสดของบริษัท ทำให้อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมลดลงเป็น 41.49% ในปี 2554 จากระดับ 61.61% ในปี 2553 บริษัทยังคงมีฐานะการเงินที่คล่องตัวในระดับที่ยอมรับได้เนื่องจากมีวงเงินสินเชื่อที่ยังไม่ได้เบิกใช้จำนวน 1,040 ล้านบาทและมีอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนในระดับต่ำที่ 16.78% ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2555
บริษัทลลิล พร็อพเพอร์ตี้โครงการ 4 แห่งที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากน้ำท่วมครั้งใหญ่ โดย ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2555 มูลค่าเหลือขายของทั้ง 4 โครงการอยู่ที่ 1,083 ล้านบาท หรือคิดเป็น 12% ของมูลค่าเหลือขายทั้งหมดจากทุกโครงการ บริษัทได้บันทึกค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับน้ำท่วม 10 ล้านบาทในไตรมาสที่ 4 ของปี 2554 ในขณะที่อีก 10 ล้านบาทถูกบันทึกเป็นต้นทุนค่าก่อสร้างบ้าน โดยยอดขายของโครงการที่ถูกน้ำท่วมมาก่อนหน้านี้เริ่มฟื้นตัวในไตรมาสแรกของปี 2555 แต่ยังคงอยู่ในระดับที่ต่ำเมื่อเทียบกับในช่วงก่อนภาวะน้ำท่วม
ผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์หลายรายโดยเฉพาะรายที่เน้นพัฒนาโครงการแนวราบมีรายได้และกำไรในไตรมาสสุดท้ายของปี 2554 ลดลงอย่างมาก ทั้งนี้ นโยบายสนับสนุนด้านภาษีและสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยปลอดดอกเบี้ยของรัฐบาลอาจไม่มีผลในการกระตุ้นความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยอย่างมีนัยสำคัญในช่วงไตรมาสต่อ ๆ ไปเนื่องจากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคถดถอย นอกจากนี้ อุตสาหกรรมยังคงมีความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก รวมถึงแรงกดดันด้านต้นทุนที่เพิ่มขึ้นเมื่อนโยบายการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำของรัฐบาลมีผลบังคับใช้ และภาระหนี้ของผู้ประกอบการที่คาดว่าจะยังคงอยู่ในระดับสูงต่อไปอีกระยะหนึ่ง — จบ
อันดับเครดิตองค์กร: คงเดิมที่ BBB แนวโน้มอันดับเครดิต: Positive (บวก)
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com ติดต่อ santaya@trisrating.com โทร. 0-2231-3011 ต่อ 500 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500 บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2555 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่เพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยมิได้รับอนุญาต การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/ratinginformation/rating_criteria.html