บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “BBB+” ด้วยแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” อันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงสถานะเงินทุนที่เข้มแข็ง ตลอดจนความแข็งแกร่งของฐานรายได้ที่มาจากการดำเนินธุรกิจที่หลากหลาย รวมถึงความเป็นผู้นำในด้านการริเริ่มพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรมทางการเงินใหม่ๆ นอกจากนี้ อันดับเครดิตดังกล่าวยังสะท้อนถึงโอกาสและความสามารถของบริษัทในการนำประสบการณ์และความรู้ของกลุ่มเคจีไอในไต้หวันซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตมีข้อจำกัดจากสภาวะแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจที่การแข่งขันทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นและภาวะตลาดหุ้นไทยที่ยังมีความผันผวนอยู่มาก อีกทั้งยังมีความไม่แน่นอนที่เกิดจากการเปิดเสรีค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์อย่างเต็มรูปแบบที่เริ่มต้นเมื่อเดือนมกราคม 2555 ทั้งนี้ การซื้อขายหลักทรัพย์ในบัญชีของบริษัทซึ่งทำให้บริษัทมีความเสี่ยงต่อความผันผวนของราคาหลักทรัพย์ในตลาดก็มีผลต่ออันดับเครดิตของบริษัทด้วย
ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” อยู่บนพื้นฐานการคาดการณ์ว่าบริษัทจะสามารถเสริมสร้างความเข้มแข็งทางการตลาดในธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ได้และยังคงมีรายได้ที่สม่ำเสมอจากการบริหารกองทุนของ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม วรรณ ได้ต่อไปแม้สภาพการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์จะยังคงมีความผันผวนเป็นอย่างมากก็ตาม นอกจากนี้ ยังคาดว่าบริษัทจะสามารถควบคุมความเสี่ยงต่าง ๆ ที่อาจเกิดจากการลงทุนในหลักทรัพย์ การให้สินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ และการออกผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ ๆ ได้ และจะสามารถขยายธุรกิจได้โดยไม่ทำให้ฐานเงินทุนและสภาพคล่องของบริษัทอ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญ แนวโน้มอันดับเครดิตดังกล่าวยังอยู่บนพื้นฐานการคาดการณ์ว่าการเปิดเสรีค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์อย่างเต็มรูปแบบในปี 2555 จะไม่ส่งผลกระทบในเชิงลบที่รุนแรงและฉับพลันต่อธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์โดยรวม
ทริสเรทติ้งรายงานว่า บล. เคจีไอมีแหล่งรายได้จากการดำเนินธุรกิจที่หลากหลายและไม่ได้กระจุกตัวอยู่ที่รายได้จากค่าธรรมเนียมซื้อขายหลักทรัพย์มากนัก กล่าวคือ ตลอดช่วง 4 ปีที่ผ่านมา รายได้จากค่าธรรมเนียมซื้อขายหลักทรัพย์คิดเป็นสัดส่วนเพียงไม่เกิน 50% ของรายได้รวมเท่านั้นเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่สูงกว่า 70% นอกจากนี้ บริษัทยังมีรายได้จากการบริหารจัดการกองทุนของ บลจ. วรรณ ซึ่งบริษัทถือหุ้นอยู่ 98% ด้วย ทั้งนี้ รายได้จากการบริหารจัดการกองทุนถือว่าเป็นแหล่งรายได้ที่ค่อนข้างแน่นอนและสม่ำเสมอเมื่อเทียบกับรายได้อื่น ๆ ของบริษัทหลักทรัพย์ ส่วนกำไรจากการซื้อขายหลักทรัพย์และตราสารอนุพันธ์ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 23%-41% ของรายได้รวมมาจากธุรกรรมที่หลากหลายไม่ว่าจะเป็นการให้บริการซื้อขายตราสารหนี้ ธุรกิจการซื้อคืนภาคเอกชน การออกใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ ธุรกิจตราสารอนุพันธ์นอกตลาด ตลอดจนการลงทุนของบริษัทในตราสารหนี้และตราสารทุน
ทริสเรทติ้งกล่าวว่า บล. เคจีไอจัดได้ว่าเป็นผู้นำในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ โดยมีความได้เปรียบจากการนำความรู้ทางวิศวกรรมการเงินตลอดจนประสบการณ์ของกลุ่มเคจีไอ ไต้หวัน ในตลาดการเงินของประเทศไต้หวันซึ่งมีการพัฒนามากกว่ามาใช้พัฒนานวัตกรรมทางการเงินใหม่ ๆ ในประเทศไทย การมีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายจะช่วยให้บริษัทสามารถดึงดูดกลุ่มนักลงทุนที่มีความต้องการบริการที่แตกต่างเข้ามาเป็นลูกค้าของบริษัท บริษัทพยายามพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่องก่อนคู่แข่งเพื่อจะมีโอกาสได้รับอัตราผลกำไรที่สูงก่อนที่จะเกิดการแข่งขันมากขึ้นในตลาด ตัวอย่างเช่น บริษัทเป็นบริษัทหลักทรัพย์แห่งแรกที่ให้บริการธุรกรรมยืมและให้ยืมหลักทรัพย์เพื่อให้นักลงทุนสามารถนำหลักทรัพย์ไปขายชอร์ตได้ไม่ว่าจะเพื่อการป้องกันความเสี่ยงหรือเพื่อการเก็งกำไร นอกจากนี้ บริษัทยังเป็นรายแรกที่ออกจำหน่ายใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ โดยออกจำหน่ายครั้งแรกในเดือนมิถุนายน 2552 ซึ่งเป็นเวลาประมาณ 8 เดือนก่อนที่จะเริ่มมีคู่แข่งเสนอขายผลิตภัณฑ์ดังกล่าว ธุรกิจใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ของบริษัทถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก โดยสร้างผลกำไรจำนวนมากให้แก่บริษัทในปี 2553-2554
อย่างไรก็ตาม ส่วนแบ่งทางการตลาดของบริษัทในธุรกิจนายหน้าซื้อขายตราสารทุนลดลงในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2555 มาอยู่ที่ 3.8% (อันดับ 12) จาก 4.5% (อันดับ 9) ในปี 2554 และจาก 4.7% (อันดับ 4) ในปี 2553 นอกจากนี้ อัตราค่าธรรมเนียมนายหน้าซื้อขายตราสารทุนเฉลี่ยของบริษัทก็อยู่ในระดับต่ำกว่าคู่แข่ง โดยอยู่ที่ 0.14%-0.15% ในปี 2553 และ 2554 เทียบกับค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ที่ 0.17%-0.18% การที่ บล.เคจีไอมีการพึ่งพาลูกค้ารายใหญ่อยู่ค่อนข้างมากอาจมีส่วนทำให้บริษัทได้รับผลกระทบจากการแข่งขันด้านราคาและการย้ายงานของเจ้าหน้าที่การตลาดมากกว่าคู่แข่งเนื่องจากลูกค้าเหล่านี้เป็นกลุ่มที่มีอำนาจต่อรองค่อนข้างสูง การสร้างความสามารถในการแข่งขันและการรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดในธุรกิจนี้ยังคงเป็นประเด็นที่ท้าทายสำหรับบริษัทในอนาคต
บล. เคจีไอมีผลกำไรสุทธิ 535 ล้านบาทในปี 2554 เทียบกับ 753 ล้านบาทในปี 2553 โดยค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานยังอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่อรายได้สุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 51% ในปี 2554 จาก 48% ในปี 2553 แต่ก็ถือว่าอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าคู่แข่ง การลดลงของผลกำไรสุทธิในปี 2554 เกิดจากการลดลงของกำไรจากการซื้อขายหลักทรัพย์และตราสารอนุพันธ์ ซึ่งลดลงเป็น 798 ล้านบาทในปี 2554 จาก 948 ล้านบาทในปี 2553 แม้ว่าการซื้อขายหลักทรัพย์ในบัญชีของบริษัทจะสร้างผลกำไรจำนวนมาก แต่ก็ทำให้บริษัทมีความเสี่ยงต่อความผันผวนของราคาหลักทรัพย์ ส่วนในด้านความเสี่ยงจากการให้สินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์นั้น บริษัทมียอดการให้สินเชื่อคงค้างจำนวน 1.1 พันล้านบาท ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2555
ส่วนของผู้ถือหุ้นของ บล. เคจีไออยู่ที่ประมาณ 5 พันล้านบาท ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2555 ซึ่งทำให้บริษัทจัดอยู่ในกลุ่มบริษัทหลักทรัพย์ที่มีฐานเงินทุนขนาดใหญ่ 5 อันดับแรก อัตราส่วนสินทรัพย์รวมต่อส่วนของผู้ถือหุ้นลดลงจาก 2.2 เท่า ณ สิ้นปี 2553 มาอยู่ที่ 1.5 เท่า ณ สิ้นปี 2554 อันมีสาเหตุหลักมาจากการลดลงของเงินลงทุนในช่วงครึ่งหลังของปี 2554 ภายใต้สภาพตลาดที่ไม่เอื้ออำนวย อัตราส่วนดังกล่าวเพิ่มกลับขึ้นมาอยู่ที่ 2.2 เท่า ณ สิ้นไตรมาสแรกของปี 2555 บริษัทมีวงเงินสินเชื่อที่เพียงพอสำหรับการขยายกิจการ ณ สิ้นปี 2554 บริษัทมีอัตราส่วนเงินกองทุนสภาพคล่องสุทธิต่อหนี้สินทั่วไปอยู่ที่ 328% ซึ่งเป็นระดับที่สูงกว่าเกณฑ์ 7% ตามที่ทางการกำหนดไว้มาก — จบ
อันดับเครดิตองค์กร: คงเดิมที่ BBB+ แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable (คงที่)
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com ติดต่อ santaya@trisrating.com โทร. 0-2231-3011 ต่อ 500 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500 บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2555 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่เพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยมิได้รับอนุญาต การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/ratinginformation/rating_criteria.html