บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ยืนยันอันดับเครดิตหุ้นกู้มีการค้ำประกัน 5,000 ล้านบาท (NTH086A) ของ บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด (NTH) ในระดับ "AAA" โดยหุ้นกู้ได้รับการค้ำประกันอย่างไม่มีเงื่อนไขและไม่สามารถเพิกถอนได้จากบริษัทแม่คือ Nestle S.A. ซึ่งได้รับการจัดอันดับเครดิตในระดับ "AAA" และ "Aaa" จากสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ และมูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส ตามลำดับ อันดับเครดิตตราสารหนี้ดังกล่าวอยู่บนพื้นฐานความน่าเชื่อถือของผู้ค้ำประกันซึ่งได้จำกัดภาระการค้ำประกันเป็นจำนวนเงินไม่เกิน 5,500 ล้านบาทและอยู่ภายใต้กฎหมายของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ แม้ว่าผู้ค้ำประกันจะไม่มีข้อผูกพันในการชำระแทนผู้ออกตราสารคือ NTH ในกรณีที่มีการแทรกแซงจากหน่วยงานใดใดของรัฐบาลไทยในการยึด อายัด หรือเวนคืนทรัพย์สินของ NTH แต่ทริสเรทติ้งเห็นว่าความเป็นไปได้ที่จะเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวมีค่อนข้างต่ำ
ทริสเรทติ้งรายงานว่า Nestle S.A. ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกลุ่ม Nestle เป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ รวมทั้งในลอนดอนและปารีส อันดับเครดิตของ Nestle S.A. อยู่ที่ระดับ "AAA" ซึ่งจัดโดยสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ และ "Aaa" โดยมูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส ทั้งนี้ ตามความเห็นของสแตนดาร์ด แอน พัวร์ อันดับเครดิต "AAA" ของ Nestle S.A. สะท้อนความเป็นผู้นำตลาดในระดับโลกของธุรกิจอาหารสำเร็จรูปที่จำหน่ายภายใต้ตราสินค้าต่างๆ ตลอดจนความแข็งแกร่งและสม่ำเสมอของกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน ความหลากหลายของผลิตภัณฑ์และกลุ่มลูกค้า และแนวนโยบายทางการเงินที่รอบคอบ อันดับเครดิตดังกล่าวยังได้พิจารณาถึงสถานะทางการเงินที่อ่อนแอลงกว่าระดับ AAA อันเป็นผลมาจากการซื้อกิจการของ Ralston Purina ในปี 2544 นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังได้พิจารณาถึงภาวะการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจอาหารและความต้องการของผู้บริโภคที่ค่อนข้างคงที่ซึ่งจะมีผลต่อระดับการทำกำไรของผู้ที่อยู่ในธุรกิจได้ ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต "ลบ" ที่ได้รับจาก สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ สะท้อนถึงสถานะทางการเงินที่อ่อนแอหลังจากการกู้ยืมจำนวนมากเพื่อการซื้อกิจการในปี 2544
ทริสเรทติ้งกล่าวว่า Nestle จัดเป็นผู้นำตลาดด้านธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มที่ใหญ่ที่สุดในโลกและมีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายซึ่งครองสัดส่วนทางการตลาดที่แข็งแกร่ง เช่น กาแฟสำเร็จรูป น้ำแร่ นมผง อาหารเด็ก ช็อคโกแลตและขนมหวาน อาหารสำเร็จรูปแช่แข็ง และอาหารสัตว์ เป็นต้น กลุ่มบริษัท Nestle ได้รับประโยชน์อย่างยิ่งจากการที่มีตราสินค้าที่เป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดี สินค้าของ Nestle มีจำหน่ายมากกว่า 87 ประเทศทั่วโลก ตราสินค้าหลักในระดับโลก 6 ตราคือ Nestle, Nescafe, Nestea, Maggi, Buitoni และ Purina มีสัดส่วนประมาณ 70% ของยอดขายรวมของ Nestle ในปี 2546 Nestle มียอดขายในทวีปอเมริกาและทวีปยุโรปในสัดส่วนประมาณ 33% และ 32% ของยอดขายรวม ในขณะที่ยอดขายในภูมิภาคเอเซีย โอเชียเนีย อาฟริกา และตะวันออกกลางมีสัดส่วนประมาณ 16% ยอดขายส่วนที่เหลือมาจากธุรกิจน้ำดื่มและอื่นๆ ธุรกิจในทวีปอเมริกาและยุโรปสร้างผลกำไรในสัดส่วนประมาณ 33% และ 28% ของกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี และค่าตัดจำหน่าย (EBITA) ในขณะที่ธุรกิจในเอเซีย โอเชียเนีย อาฟริกา และตะวันออกกลางมีสัดส่วน 20% โดยส่วนที่เหลือเป็นกำไรจากกลุ่มธุรกิจน้ำดื่มและอื่นๆ
แม้ว่ากลุ่ม Nestle จะมีอัตราการเติบโตของปริมาณผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายได้ต่อปี (Real Internal Growth -- RIG) ลดลงจาก 3.4% ในปี 2545 มาเป็น 2.2% ในปี 2546 แต่กลุ่มก็ยังคงดำรงอัตราการเติบโตของราคาและปริมาณผลิตภัณฑ์ (Organic Growth) อยู่ที่ประมาณ 5% ในช่วงปี 2545-2546 โดยยอดขายรวมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก 81,422 ล้านฟรังสวิสในปี 2543 มาเป็น 89,160 ล้านฟรังสวิสในปี 2545 และลดลงเล็กน้อยที่ 87,979 ล้านฟรังสวิสในปี 2546 เนื่องมาจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานต่อยอดขายปรับตัวดีขึ้นจาก 15.0% ในปี 2544 มาเป็น 15.5% ในปี 2546 ในขณะที่อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยสุทธิ (Net Interest) เพิ่มขึ้นจากระดับ 22.9 เท่าเป็น 23.5 เท่า นอกจากนี้ สถานะทางการเงินของกลุ่ม Nestle ปรับตัวดีขึ้นโดยมีอัตราส่วนเงินกู้สุทธิ (Net Debt) ต่อโครงสร้างเงินทุนรวมลดลงมาที่ 27.5% และเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้สุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 75.3% ในปี 2546 ทริสเรทติ้งกล่าว -- จบ
ทริสเรทติ้งรายงานว่า Nestle S.A. ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกลุ่ม Nestle เป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ รวมทั้งในลอนดอนและปารีส อันดับเครดิตของ Nestle S.A. อยู่ที่ระดับ "AAA" ซึ่งจัดโดยสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ และ "Aaa" โดยมูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส ทั้งนี้ ตามความเห็นของสแตนดาร์ด แอน พัวร์ อันดับเครดิต "AAA" ของ Nestle S.A. สะท้อนความเป็นผู้นำตลาดในระดับโลกของธุรกิจอาหารสำเร็จรูปที่จำหน่ายภายใต้ตราสินค้าต่างๆ ตลอดจนความแข็งแกร่งและสม่ำเสมอของกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน ความหลากหลายของผลิตภัณฑ์และกลุ่มลูกค้า และแนวนโยบายทางการเงินที่รอบคอบ อันดับเครดิตดังกล่าวยังได้พิจารณาถึงสถานะทางการเงินที่อ่อนแอลงกว่าระดับ AAA อันเป็นผลมาจากการซื้อกิจการของ Ralston Purina ในปี 2544 นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังได้พิจารณาถึงภาวะการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจอาหารและความต้องการของผู้บริโภคที่ค่อนข้างคงที่ซึ่งจะมีผลต่อระดับการทำกำไรของผู้ที่อยู่ในธุรกิจได้ ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต "ลบ" ที่ได้รับจาก สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ สะท้อนถึงสถานะทางการเงินที่อ่อนแอหลังจากการกู้ยืมจำนวนมากเพื่อการซื้อกิจการในปี 2544
ทริสเรทติ้งกล่าวว่า Nestle จัดเป็นผู้นำตลาดด้านธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มที่ใหญ่ที่สุดในโลกและมีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายซึ่งครองสัดส่วนทางการตลาดที่แข็งแกร่ง เช่น กาแฟสำเร็จรูป น้ำแร่ นมผง อาหารเด็ก ช็อคโกแลตและขนมหวาน อาหารสำเร็จรูปแช่แข็ง และอาหารสัตว์ เป็นต้น กลุ่มบริษัท Nestle ได้รับประโยชน์อย่างยิ่งจากการที่มีตราสินค้าที่เป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดี สินค้าของ Nestle มีจำหน่ายมากกว่า 87 ประเทศทั่วโลก ตราสินค้าหลักในระดับโลก 6 ตราคือ Nestle, Nescafe, Nestea, Maggi, Buitoni และ Purina มีสัดส่วนประมาณ 70% ของยอดขายรวมของ Nestle ในปี 2546 Nestle มียอดขายในทวีปอเมริกาและทวีปยุโรปในสัดส่วนประมาณ 33% และ 32% ของยอดขายรวม ในขณะที่ยอดขายในภูมิภาคเอเซีย โอเชียเนีย อาฟริกา และตะวันออกกลางมีสัดส่วนประมาณ 16% ยอดขายส่วนที่เหลือมาจากธุรกิจน้ำดื่มและอื่นๆ ธุรกิจในทวีปอเมริกาและยุโรปสร้างผลกำไรในสัดส่วนประมาณ 33% และ 28% ของกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี และค่าตัดจำหน่าย (EBITA) ในขณะที่ธุรกิจในเอเซีย โอเชียเนีย อาฟริกา และตะวันออกกลางมีสัดส่วน 20% โดยส่วนที่เหลือเป็นกำไรจากกลุ่มธุรกิจน้ำดื่มและอื่นๆ
แม้ว่ากลุ่ม Nestle จะมีอัตราการเติบโตของปริมาณผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายได้ต่อปี (Real Internal Growth -- RIG) ลดลงจาก 3.4% ในปี 2545 มาเป็น 2.2% ในปี 2546 แต่กลุ่มก็ยังคงดำรงอัตราการเติบโตของราคาและปริมาณผลิตภัณฑ์ (Organic Growth) อยู่ที่ประมาณ 5% ในช่วงปี 2545-2546 โดยยอดขายรวมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก 81,422 ล้านฟรังสวิสในปี 2543 มาเป็น 89,160 ล้านฟรังสวิสในปี 2545 และลดลงเล็กน้อยที่ 87,979 ล้านฟรังสวิสในปี 2546 เนื่องมาจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานต่อยอดขายปรับตัวดีขึ้นจาก 15.0% ในปี 2544 มาเป็น 15.5% ในปี 2546 ในขณะที่อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยสุทธิ (Net Interest) เพิ่มขึ้นจากระดับ 22.9 เท่าเป็น 23.5 เท่า นอกจากนี้ สถานะทางการเงินของกลุ่ม Nestle ปรับตัวดีขึ้นโดยมีอัตราส่วนเงินกู้สุทธิ (Net Debt) ต่อโครงสร้างเงินทุนรวมลดลงมาที่ 27.5% และเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้สุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 75.3% ในปี 2546 ทริสเรทติ้งกล่าว -- จบ