บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่มีประกันชุดใหม่ของ ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) ในวงเงินไม่เกิน 2,000 ล้านบาทที่ระดับ “A-” พร้อมทั้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่มีประกันชุดปัจจุบันของธนาคารที่ระดับ “A-” ด้วยเช่นกัน โดยแนวโน้มยังคง “Positive” หรือ “บวก” อันดับเครดิตสะท้อนสถานะทางธุรกิจและการเงินของธนาคารที่ปรับตัวดีขึ้น รวมถึงคณะผู้บริหารที่มีประสบการณ์ การบริหารความเสี่ยงในระดับที่ยอมรับได้ คุณภาพสินทรัพย์ที่ดีขึ้น และฐานเงินกองทุนที่มีความแข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตถูกลดทอนจากมูลค่าเครือข่ายธุรกิจ (Franchise Value) ในระดับปานกลางของธนาคาร และเครือข่ายที่น้อยกว่าเมื่อเทียบกับธนาคารขนาดใหญ่ นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงของภาวะเศรษฐกิจและการเมือง รวมทั้งการแข่งขันในธุรกิจธนาคารพาณิชย์และธุรกิจหลักทรัพย์ที่ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นอาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางธุรกิจและความสามารถในการทำกำไรของธนาคารในอนาคต ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Positive” หรือ “บวก” สะท้อนการคาดการณ์ว่าธนาคารจะสามารถรักษาระดับการเติบโตและความสามารถในการทำกำไรเอาไว้ได้ในระยะกลาง รวมทั้งสามารถควบคุมคุณภาพสินทรัพย์และดำรงเงินกองทุนอย่างเพียงพอเพื่อรองรับความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจและการเงิน สิ่งที่ยังคงเป็นกังวลได้แก่ ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นอันสืบเนื่องจากเหตุอุทกภัย และต้นทุนทางการเงินที่อาจสูงขึ้นอีก ทั้งนี้ ความสามารถในการดำรงไว้ซึ่งจุดแข็งของธนาคารและการรักษาฐานเงินทุนที่มีเสถียรภาพไว้ด้วยต้นทุนที่เหมาะสมยังคงต้องรอการพิสูจน์ต่อไป
ทริสเรทติ้งรายงานว่า ธนาคารเกียรตินาคินเป็นธนาคารพาณิชย์ไทยที่มีขนาดของสินทรัพย์ใหญ่เป็นอันดับที่ 11 จากทั้งสิ้น 15 แห่ง โดยมีส่วนแบ่งการตลาดของสินทรัพย์ที่ 1.8% สินเชื่อ 1.8% และเงินรับฝาก 1.3% ณ เดือนมิถุนายน 2555 ธนาคารมีความชำนาญในธุรกิจหลัก อันได้แก่ สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ สินเชื่อโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัย และธุรกิจบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ สินเชื่อรวมของธนาคารเติบโตขึ้น 13% จาก 135.7 พันล้านบาทในปี 2554 เป็น 154.1 พันล้านบาท ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2555 โดยได้รับแรงหนุนจากการเติบโตของยอดขายรถยนต์ภายในประเทศ รวมทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ ธนาคารมีสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์คิดเป็นสัดส่วน 75% ในขณะที่สินเชื่อพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยและสินเชื่อประเภทอื่น ๆ มีสัดส่วน 25% ณ เดือนมิถุนายน 2555 ธนาคารมีสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ทั้งสิ้น 115.5 พันล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้น 15% จาก 100.8 พันล้านบาทในปี 2554 ส่วนสินเชื่อกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้างเติบโตเพิ่มขึ้น 12% จาก 23.3 พันล้านบาทในปี 2554 เพิ่มขึ้นเป็น 26.1 พันล้านบาท ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2555
ทริสเรทติ้งกล่าวว่า ธนาคารเกียรตินาคินประสบความสำเร็จในการควบรวมกิจการกับ บริษัท ทุนภัทร จำกัด (มหาชน) ตามกลยุทธ์การเติบโต โดยมีผลวันที่ 13 กันยายน 2555 ธนาคารได้ทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของบริษัททุนภัทรด้วยวิธีการแลกหุ้น (Share Swap) ทั้งนี้ บริษัททุนภัทรประกอบธุรกิจหลักทรัพย์โดยมีปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ ณ เดือนสิงหาคม 2555 มากเป็นอันดับ 10 จากบริษัทหลักทรัพย์ทั้งสิ้น 32 แห่ง การควบรวมกิจการในครั้งนี้เพื่อประสานความร่วมมือในการดำเนินธุรกิจทางการเงิน โดยคาดว่าจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านธุรกิจวาณิชธนกิจในตลาดทุนได้ สถานะทางธุรกิจและการเงินคาดว่าจะดีขึ้นในระยะยาวหากธนาคารประสบความสำเร็จในการได้รับประโยชน์จากการผสานความร่วมมือภายในกลุ่ม อย่างไรก็ตาม ประโยชน์ในทันทีภายหลังการควบรวมกิจการคาดว่าจะยังไม่เพียงพอที่จะส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงสถานะเครดิตของธนาคาร
ธนาคารเกียรตินาคินขยายธุรกิจโดยเน้นสินทรัพย์คุณภาพดี โดยกำหนดนโยบายสินเชื่อและเกณฑ์การอนุมัติสินเชื่อที่มีความเข้มงวดยิ่งขึ้น สินเชื่อด้อยคุณภาพของธนาคารลดลงอย่างต่อเนื่องจาก 8.2 พันล้านบาทในปี 2550 มาอยู่ที่ 4.7 พันล้านบาทในปี 2554 อย่างไรก็ตาม ปริมาณสินเชื่อด้อยคุณภาพเพิ่มขึ้นเป็น 5.2 พันล้านบาท ณ สิ้นไตรมาสที่ 2 ของปี 2555 อันเป็นผลสืบเนื่องจากเหตุอุทกภัยในประเทศไทยช่วงปลายปี 2554 กระนั้นก็ตาม แม้ว่าปริมาณสินเชื่อด้อยคุณภาพจะเพิ่มขึ้น แต่อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อสินเชื่อรวมยังอยู่ในสถานะที่ควบคุมได้ โดยลดลงจาก 6.2% ในปี 2552 มาอยู่ที่ 3.5% ในปี 2554 และ 3.4% ในเดือนมิถุนายน 2555 ในขณะเดียวกัน ธนาคารมีสินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (ประกอบด้วยสินเชื่อจัดชั้นที่ค้างชำระเกิน 3 เดือน ยอดคงค้างสินเชื่อที่ปรับโครงสร้างหนี้ และสินทรัพย์รอการขาย) คิดเป็น 5.0% ของสินทรัพย์รวม ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2555 โดยลดลงจาก 6.0% ในปี 2554 ธนาคารให้สินเชื่อพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแก่ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็กซึ่งมีความเสี่ยงค่อนข้างสูง สินเชื่อด้อยคุณภาพในภาคอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้างยังคงอยู่ในระดับสูงคิดเป็น 10.7% ณ เดือนมิถุนายน 2555 อย่างไรก็ตาม ธนาคารยังดำรงเงินกองทุนและสำรองหนี้สงสัยจะสูญไว้เพียงพอเพื่อรองรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ โดยสัดส่วนของสินทรัพย์ด้อยคุณภาพเทียบกับเงินกองทุนซึ่งรวมค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ ดีขึ้นจาก 0.61 เท่าในปี 2552 เป็น 0.41 เท่าในปี 2554 และ 0.39 เท่าในเดือนมิถุนายน 2555 นอกจากนี้ อัตราส่วนสำรองหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพยังเพิ่มขึ้นจาก 69.7% ในปี 2552 เป็น 85.1% ในปี 2553 และ 106.9% ในเดือนมิถุนายน 2555 อีกด้วย
ธนาคารเกียรตินาคินสามารถสร้างรายได้และดำรงผลตอบแทนในระดับสูงจากธุรกิจหลัก อีกทั้งสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม ต้นทุนทางการเงินของธนาคารสูงขึ้นในปี 2554 จนถึงครึ่งปีแรกของปี 2555 นอกจากนี้ ธนาคารยังตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับผลกระทบจากเหตุอุทกภัย ทั้งนี้ ธนาคารมีกำไรสุทธิปี 2554 จำนวน 2,859 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1% จากปีก่อน โดยมีอัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยและอัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นถัวเฉลี่ยเท่ากับ 1.7% และ12.3% ตามลำดับในปี 2554 ลดลงจาก 2.1% และ 14.2% ในปี 2553 ธนาคารมีกำไรสุทธิสำหรับงวดหกเดือนแรกของปี 2555 จำนวน 1,395 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ธนาคารได้รับผลกระทบจากค่าธรรมเนียมใหม่ที่คำนวณจากฐานเงินฝากและเงินกู้ยืมระยะสั้น ซึ่งจะต้องนำส่งธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อชำระคืนภาระหนี้สินของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) อันจะส่งผลให้ต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้นและกระทบต่อความสามารถในการทำกำไรของธนาคาร
ในส่วนของสภาพคล่องและแหล่งเงินทุนนั้น ธนาคารเกียรตินาคินมีความเสี่ยงด้านสภาพคล่องในระดับหนึ่งอันเกิดจากความไม่สัมพันธ์กันของโครงสร้างสินทรัพย์และหนี้สินที่จะครบกำหนดชำระคืนภายใน 12 เดือน ประกอบกับธนาคารยังคงพึ่งพิงแหล่งเงินทุนจากลูกค้ารายใหญ่ซึ่งอาจมีความผันผวนได้ง่าย ณ เดือนมิถุนายน 2555 แหล่งเงินทุนของธนาคารประกอบด้วยตั๋วแลกเงินซึ่งคิดเป็น 31% ของเงินรับฝากรวมตั๋วแลกเงิน เงินฝากประจำ 51% และเงินฝากกระแสรายวันและออมทรัพย์ (18%) อย่างไรก็ดี ธนาคารมีแผนที่จะเพิ่มฐานบัญชีเงินรับฝากจากลูกค้ารายย่อยเพื่อให้แหล่งเงินทุนมีการกระจายตัวและมีเสถียรภาพดียิ่งขึ้น
ธนาคารเกียรตินาคินมีฐานเงินทุนที่แข็งแกร่ง สะท้อนจากอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่ระดับ 13.3% และอัตราส่วนเงินกองทุนรวมที่ระดับ 14.0% ณ เดือนมิถุนายน 2555 สำหรับอัตราส่วนส่วนของผู้ถือหุ้นต่อสินทรัพย์รวมนั้นลดลงเล็กน้อยจาก 12.8% ในปี 2554 มาอยู่ที่ 11.1% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2555 อันเป็นผลจากการขยายตัวของสินเชื่อ ธนาคารมีสินเชื่อที่มีความเสี่ยงและผลตอบแทนสูงโดยเฉพาะสินเชื่อโครงการที่อยู่อาศัย การดำรงเงินกองทุนที่แข็งแกร่งและสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญไว้อย่างเพียงพอจึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อรองรับความเสียหายที่มิอาจคาดการณ์ได้จากภาวะถดถอยในอนาคต ทริสเรทติ้งกล่าว — จบ
อันดับเครดิตองค์กร: คงเดิมที่ A- อันดับเครดิตตราสารหนี้: KK12OA: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2555 คงเดิมที่ A- KK142A: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 2,905 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2557 คงเดิมที่ A- KK144A: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 2,485 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2557 คงเดิมที่ A- KK16DA: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 975 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2559 คงเดิมที่ A- KK187A: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 240 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2561 คงเดิมที่ A- KK18DA: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 625 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2561 คงเดิมที่ A- KK18DB: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 10 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2561 คงเดิมที่ A- หุ้นกู้ไม่มีประกันในวงเงินไม่เกิน 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนภายในปี 2557 A- แนวโน้มอันดับเครดิต: Positive (บวก)
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com ติดต่อ santaya@trisrating.com โทร. 0-2231-3011 ต่อ 500 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500 บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2555 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่เพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยมิได้รับอนุญาต การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/ratinginformation/rating_criteria.html