ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิต "บ. โรงแรมเซ็นทรัล พลาซา" ที่ระดับ "A-" พร้อมแนวโน้ม "Stable"

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday October 21, 2004 07:29 —ทริส เรตติ้ง

        บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จัดอันดับเครดิต บริษัท โรงแรมเซ็นทรัล พลาซา จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ "A-" โดยสะท้อนประสบการณ์ที่ยาวนานของคณะผู้บริหารในธุรกิจโรงแรมและอาหารบริการด่วน การมีแหล่งรายได้ที่กระจายตัวจากธุรกิจทั้ง 2 ประเภทดังกล่าว การเป็นหนึ่งในผู้นำตลาดอาหารบริการด่วน และการมีโรงแรมหลักๆ ของกลุ่มที่มีคุณภาพดี นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังพิจารณาถึงการสนับสนุนภายในกลุ่มเซ็นทรัล และแนวโน้มที่ดีของธุรกิจการท่องเที่ยวและธุรกิจอาหารบริการด่วนด้วย อย่างไรก็ตาม จุดเด่นดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากธรรมชาติของธุรกิจโรงแรมที่เป็นวงจรและขึ้นกับฤดูกาลซึ่งถูกกระทบจากปัจจัยภายนอกได้ง่าย รวมทั้งจากการแข่งขันที่รุนแรงและอัตรากำไรที่ต่ำของธุรกิจอาหารบริการด่วน  ทั้งนี้ อันดับเครดิตในระดับดังกล่าวขึ้นอยู่กับการคาดการณ์ว่าผู้บริหารจะคงดำเนินนโยบายทางการเงินที่ระมัดระวังในการขยายธุรกิจโรงแรมและอาหารบริการด่วนในอนาคต
ในขณะที่ แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" เป็นผลมาจากการมีคณะผู้บริหารที่มีประสบการณ์ยาวนานในธุรกิจทั้ง 2 ประเภท ตลอดจนแนวโน้มที่ดีของธุรกิจโรงแรมในประเทศ และสินค้าที่ได้รับการยอมรับในตลาดอาหารบริการด่วน ถึงแม้จะคาดว่าเงินทุนจากการดำเนินงานจะยังคงดีขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็คาดว่าเงินกู้ยืมก็จะเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกันเนื่องจากเงินสดจากการดำเนินงานเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอที่จะใช้ลงทุนในการขยายธุรกิจโรงแรม แต่ทริสเรทติ้งก็คาดว่าบริษัทจะยังคงรักษาอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนในระดับเดิมเอาไว้ในระยะยาวทริสเรทติ้งรายงานว่า บริษัทโรงแรมเซ็นทรัล พลาซา ก่อตั้งโดยตระกูลจิราธิวัฒน์ในปี 2523 ปัจจุบันบริษัทดำเนินธุรกิจโรงแรม 8 แห่งในประเทศไทย และ 1 แห่งที่ติมอร์ตะวันออก นอกจากนี้ ยังรับบริหารงานห้องชุดพักอาศัยแห่งหนึ่งในประเทศและโรงแรมอีก 1 แห่งในประเทศเวียดนาม และยังประกอบธุรกิจเกี่ยวกับอาหารบริการด่วนแบบเครือข่ายอีก 5 ตราสัญลักษณ์ซึ่งดำเนินงานโดย บริษัท เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด คือ "เคเอฟซี" "มิสเตอร์โดนัท" "พิซซา ฮัท" "บาสกิ้นส์ รอบบิ้นส์" และ "อานตี้ แอนส์" โรงแรม 2 แห่งของบริษัทคือ โรงแรมโซฟิเทล เซ็นทรัล พลาซา และโรงแรมโนโวเทล เซ็นทรัล สุคนธา เป็นธุรกิจแฟรนไชส์ของกลุ่ม "Accor" ในขณะที่โรงแรม โซฟิเทล เซ็นทรัล หัวหิน รีสอร์ท มีกลุ่ม Accor เป็นผู้บริหาร โดย Accor เป็นหนึ่งในเครือข่ายผู้บริหารโรงแรม10 อันดับแรกซึ่งมีจำนวนห้องพักสูงที่สุดในโลก มีชื่อตราสัญลักษณ์เป็นที่รู้จักทั่วโลก และมีโรงแรมภายใต้การบริหารงานประมาณ 3,900 แห่ง ส่วนโรงแรมอื่นๆ ของบริษัทซึ่งตั้งอยู่ในแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญทั่วประเทศนั้นดำเนินงานโดยใช้ตราสัญลักษณ์ของบริษัทเอง
ทริสเรทติ้งกล่าวว่า นอกจากผู้บริหารโรงแรมในกลุ่มที่มีประสบการณ์ยาวนานแล้ว กลุ่ม Accor ยังให้การสนับสนุนธุรกิจโรงแรมของกลุ่มในเรื่องต่างๆ ด้วย เช่น ระบบเครือข่ายการจองห้องพัก โปรแกรมการรักษาลูกค้าที่มีประสิทธิภาพ การโฆษณาของทั้งเครือข่าย และการมีสำนักงานขายกระจายอยู่ทั่วโลก นอกจากนี้ การที่ตราสัญลักษณ์ของกลุ่มเซ็นทรัลเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางในหมู่ลูกค้าระดับบนภายในประเทศยังเป็นการช่วยสนับสนุนด้านการตลาดให้แก่โรงแรมของบริษัทอีกด้วย ในปี 2544 รายได้ของบริษัทแบ่งเป็น 46%:54% สำหรับธุรกิจโรงแรมและอาหาร อย่างไรก็ตาม รายได้จากธุรกิจอาหารค่อยๆ เพิ่มขึ้นเป็น 60% ในปี 2546 และ 58% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2547 ทั้งนี้ การมีกระแสเงินสดที่หลากหลายจากโรงแรมต่างๆ และอาหารบริการด่วนหลายยี่ห้อช่วยลดความเสี่ยงทางธุรกิจของบริษัท
อัตราการกู้ยืมของบริษัทอยู่ในระดับค่อนข้างคงที่ที่ 40%-49% ระหว่างปี 2543-2546 เงินกู้รวมของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างมากจาก 1,521 ล้านบาทในปี 2545 เป็น 2,155 ล้านบาทด้วยเหตุผลหลักจากการกู้ยืมเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายฝ่ายทุนที่สูงถึง 1,214 ล้านบาทในปี 2546 ทั้งนี้ คาดว่าอัตราส่วนหนี้สินรวมต่อโครงสร้างเงินทุนทั้งหมดจะเพิ่มขึ้นหลังจากมีการขยายกิจการครั้งใหญ่โดยที่เงินทุนส่วนใหญ่จะมาจากการกู้ยืม ถึงแม้ว่าธุรกิจโรงแรมจะมีอัตรากำไรที่สูง แต่เนื่องจากธุรกิจอาหารมีอัตรากำไรที่ต่ำกว่า จึงมีผลให้อัตรากำไรโดยรวมของบริษัทคงที่ที่ระดับ 20% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
ทริสเรทติ้งกล่าวด้วยว่า ในช่วงครึ่งแรกของปี 2547 จำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาประเทศไทยเพิ่มขึ้น 29% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยจำนวนนักท่องเที่ยวในปี 2546 เมื่อเทียบกับปี 2545 มีอัตราลดลง 7.4% จากผลกระทบของโรคซาร์ส ทริสเรทติ้งคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวน่าจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในระยะปานกลางถึงระยะยาวเนื่องจากไทยมีสถานที่ท่องเที่ยวและแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่ดึงดูดใจมากมาย กระนั้น แหล่งท่องเที่ยวส่วนใหญ่ก็มีการแข่งขันที่ค่อนข้างรุนแรงเนื่องจากอุปทานในธุรกิจโรงแรมระดับบนที่มีมากเกินความต้องการและอัตราการเข้าพักที่ยังคงต่ำอยู่ ในส่วนของธุรกิจอาหารนั้น การเติบโตมักเป็นไปในทิศทางเดียวกับผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ ดังนั้น เศรษฐกิจของประเทศที่เติบโตอย่างมากในปี 2547 และต่อไปในอนาคตจึงเป็นเครื่องบ่งชี้ถึงแนวโน้มที่ดีของธุรกิจนี้แม้ว่าจะมีการแข่งขันที่ค่อนข้างสูงอันเนื่องมาจากการเข้าสู่ธุรกิจที่ง่ายก็ตาม - จบ

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ