ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่มีประกันวงเงินไม่เกิน 8,500 ล้านบาท “บ. ดั๊บเบิ้ล เอ (1991)” ที่ระดับ “BBB/Negative”

ข่าวทั่วไป Friday January 11, 2013 13:02 —ทริส เรตติ้ง

ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตให้แก่หุ้นกู้ไม่มีประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 8,500 ล้านบาทของ บริษัท ดั๊บเบิ้ล เอ (1991) จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “BBB” พร้อมทั้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่มีประกันชุดปัจจุบันของบริษัทที่ระดับ “BBB” เช่นกัน โดยแนวโน้มยังคง “Negative” หรือ “ลบ” บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปใช้ชำระหนี้หุ้นกู้ชุดเดิม (AA136A และ AA148A) รวมถึงลงทุนตามแผนและเป็นเงินทุนหมุนเวียนของบริษัท ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Negative” หรือ “ลบ” สะท้อนถึงสถานะทางการเงินของบริษัทที่ปรับลดลงซึ่งเกิดจากผลการดำเนินงานและโครงสร้างเงินทุนที่อ่อนแอลง แนวโน้มอันดับเครดิตอาจได้รับการปรับกลับมาเป็น “Stable” หรือ “คงที่” หากบริษัทแสดงให้เห็นถึงความสามารถที่จะทำให้ผลประกอบการของบริษัทกลับมาอยู่ในระดับปกติได้ ในทางตรงกันข้ามอันดับเครดิตอาจถูกปรับลดลงหากบริษัทใช้เวลาในการฟื้นฟูความได้เปรียบด้านต้นทุนและฐานะการเงินนานกว่าที่คาดการณ์ไว้

อันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงสถานะของบริษัทในการเป็นหนึ่งในผู้นำในอุตสาหกรรมการผลิตกระดาษพิมพ์เขียนของไทย รวมถึงการมีโรงงานที่มีประสิทธิภาพและมีการผลิตที่ครบวงจร ตลอดจนตราสัญลักษณ์ที่แข็งแกร่งของผลิตภัณฑ์กระดาษ “ดั๊บเบิ้ล เอ” อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากความผันผวนด้านราคาซึ่งเป็นลักษณะโดยธรรมชาติของอุตสาหกรรมการผลิตเยื่อและกระดาษ ความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ รวมถึงอุปสงค์ของกระดาษที่มีแนวโน้มชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจโลก นอกจากนี้ การจัดโครงสร้างกลุ่มบริษัทที่ยังไม่แล้วเสร็จและธุรกรรมบางรายการระหว่างบริษัทกับบริษัทที่เกี่ยวข้องที่ยังคงมีอยู่ในช่วงการจัดโครงสร้างกลุ่มบริษัทยังคงเป็นข้อกังวลสำหรับอันดับเครดิตของบริษัท

บริษัทดั๊บเบิ้ล เอ (1991) เป็นผู้นำในการผลิตเยื่อกระดาษและกระดาษพิมพ์เขียนในประเทศไทยโดยเป็นเจ้าของโรงงานผลิตกระดาษจำนวน 3 โรงงานซึ่งมีกำลังการผลิตติดตั้ง 473,000 ตันต่อปี และมีโรงงานผลิตเยื่อกระดาษจำนวน 2 โรงงานซึ่งมีกำลังการผลิต 427,000 ตันต่อปี โดยประมาณ 85% ของเยื่อกระดาษที่ผลิตได้จะนำมาใช้ภายในเพื่อการผลิตกระดาษของบริษัท ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมารายได้จากการจำหน่ายกระดาษคิดเป็นประมาณ 90% ของรายได้รวมของบริษัท ในขณะที่รายได้ส่วนที่เหลือมาจากการจำหน่ายเยื่อกระดาษ รายได้ของบริษัทมีการกระจายตัวในหลายภูมิภาค โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2555 รายได้ของบริษัทมาจากการจำหน่ายภายในประเทศ 35% อีก 65% มาจากการส่งออกซึ่งประกอบด้วยรายได้จากตลาดในภูมิภาคเอเซีย 51% และภูมิภาคอื่น ๆ 14%

ณ เดือนกันยายน 2555 นายโยธิน ดำเนินชาญวนิชย์และบุคคลที่เกี่ยวข้องเป็นผู้ถือหุ้นหลักในสัดส่วน 76.2% โดยบริษัทได้ถอนการจดทะเบียนออกจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเมื่อวันที่ 17 เมษายน 2551 เพื่อปรับโครงสร้างธุรกิจของบริษัทและกลุ่มบริษัท โดยบริษัทมีแผนจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์อื่นในภูมิภาคในปี 2552 อย่างไรก็ตาม เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจไม่เอื้ออำนวยบริษัทจึงต้องเลื่อนแผนดังกล่าวออกไป ในระหว่างปี 2552-2554 กลุ่มบริษัทมีการโอนย้ายและขายสินทรัพย์ระหว่างกันหลายรายการ สำหรับแผนการปรับโครงสร้างของกลุ่มบริษัทนั้นมีการเปลี่ยนแปลงอยู่บ่อยครั้งและใช้ระยะเวลานานกว่าที่ได้คาดการณ์ไว้

ผลการดำเนินงานของบริษัทในปี 2554 อ่อนแอลง แม้ว่าบริษัทจะมีรายได้ค่อนข้างคงที่ที่ 18,317 ล้านบาท แต่ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก บริษัทรายงานผลขาดทุนจำนวน 105 ล้านบาทสำหรับปี 2554 การเพิ่มขึ้นของราคาชิ้นไม้สับและเยื่อใยยาวซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักสำหรับการผลิตกระดาษ ตลอดจนค่าใช้จ่ายด้านการตลาดที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการแข็งค่าของเงินบาทเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ 3.8% ในปี 2554 เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ผลประกอบการของบริษัทอ่อนแอลง

ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2555 บริษัทมีรายได้ 14,850 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.0% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน รายได้ที่เพิ่มขึ้นส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการอ่อนตัวของค่าเงินบาท 3% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ และปริมาณการจำหน่ายกระดาษที่เพิ่มขึ้น โดยผลิตภัณฑ์กระดาษนั้น บริษัทเน้นที่กระดาษพิมพ์เขียนโดยเฉพาะกระดาษรีมเล็กเป็นสำคัญ ทั้งนี้ เมื่อเทียบราคากระดาษพิมพ์เขียนกับราคาเยื่อกระดาษ ราคากระดาษพิมพ์เขียนจะมีราคาที่ค่อนข้างคงที่กว่าโดยเฉพาะภายใต้ตราสินค้า “ดั๊บเบิ้ล เอ” ซึ่งมีสัดส่วนการจำหน่าย 57.2% ของปริมาณการจำหน่ายกระดาษทั้งหมดของบริษัท ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2555 บริษัทมีปริมาณจำหน่ายผลิตภัณฑ์กระดาษ 409,364 ตัน เพิ่มขึ้น 7.2% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่รายได้จากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์กระดาษเพิ่มขึ้น 8.8% เป็น 13,827 ล้านบาท ซึ่งสามารถชดเชยการจำหน่ายเยื่อกระดาษที่ลดลงได้ โดยบริษัทมีรายได้จากการจำหน่ายเยื่อกระดาษ 1,023 ล้านบาท ลดลง 20.9% ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากปริมาณการจำหน่ายที่ลดลง 11.9% เมื่อเทียบช่วงเดียวของปีก่อน เหลือ 52,990 ตัน ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2555

อัตรากำไรของบริษัทลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ของปี 2553 เป็นต้นมาเมื่อบริษัทมีค่าใช้จ่ายด้านการตลาดเพิ่มมากขึ้นสำหรับการเปิดตลาดใหม่ในทวีปแอฟริกาและยุโรปตะวันออกเพื่อรองรับกำลังการผลิตที่จะเพิ่มขึ้นเมื่อโรงผลิตกระดาษที่ 3 (PM#3) ของบริษัทเริ่มดำเนินงาน ซึ่งโรงงานผลิตกระดาษแห่งที่ 3 นี้จะเป็นโรงงานที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุดในกลุ่มด้วยกำลังการผลิตกระดาษขนาด 220,000 ตันต่อปี โดยมีมูลค่าการลงทุนทั้งสิ้น 6,400 ล้านบาท นอกจากนี้ อัตรากำไรของบริษัทยังถูกกดดันจากราคาวัตถุดิบที่สูงขึ้นโดยเฉพาะราคาชิ้นไม้สับ ทั้งนี้ ราคาชิ้นไม้สับเพิ่มขึ้น 11.4% ในปี 2554 โดยส่วนหนึ่งเป็นผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ในประเทศไทยเมื่อช่วงครึ่งหลังของปี 2554 ทำให้ค่าใช้จ่ายในการจัดหาไม้และค่าขนส่งเพิ่มสูงขึ้น ดังนั้นอัตรากำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาของบริษัทจึงลดลงจาก 14.0% ในปี 2553 เหลือ 8.2% ในปี 2554 สำหรับในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2555 อัตรากำไรดังกล่าวปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยเป็น 10.7% เนื่องจากต้นทุนชิ้นไม้สับและเยื่อใยยาวลดลงเล็กน้อย นอกจากนี้บริษัทยังลดค่าใช้จ่ายด้านการตลาดของบริษัท อย่างไรก็ตาม อัตรากำไรของบริษัทยังคงต่ำกว่าในอดีตที่บริษัทเคยทำได้ที่ระดับเฉลี่ยประมาณ 15.0% ระหว่างปี 2547 ถึงปี 2551

ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทอาจปรับตัวดีขึ้นในอนาคตหากกลยุทธ์การจัดหาวัตถุดิบของบริษัทประสบความสำเร็จ และหากโรงงานกระดาษแห่งใหม่ของบริษัทเริ่มดำเนินงาน ปัจจุบันบริษัทเริ่มจัดหาไม้ตามกลยุทธ์ใหม่โดยส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกต้นกระดาษบนคันนาและบริษัทรับซื้อไม้โดยตรงจากผู้ปลูก กลยุทธ์นี้คาดว่าจะสามารถช่วยลดต้นทุนวัตถุดิบของบริษัทและมีปริมาณไม้ที่เพียงพอกับความต้องการของบริษัทในระยะยาว ประโยชน์ดังกล่าวนี้คาดว่าจะเริ่มเห็นผลได้อย่างเต็มที่ตั้งแต่ปี 2557 เป็นต้นไป นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนลดการใช้เยื่อใยยาวโดยจะใช้เฉพาะเยื่อใยสั้นสำหรับการผลิตกระดาษหลังจากที่โรงงานกระดาษแห่งที่ 3 ของบริษัทเริ่มดำเนินงานในปี 2556

โครงสร้างเงินทุนของบริษัทอ่อนแอลงในช่วงปี 2553-2555 ภาระหนี้เงินกู้รวมของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 13,754 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2553 เป็น 18,801 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนกันยายน 2555 โดยส่วนหนึ่งเป็นเงินกู้สำหรับการสร้างโรงงานกระดาษแห่งที่ 3 ของบริษัท อย่างไรก็ตาม ในปี 2554 บริษัทบันทึกส่วนเกินทุนจากการตีราคาที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์ของกลุ่มบริษัทที่ประมาณ 3,400 ล้านบาท ทำให้อัตราส่วนหนี้สินต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทยังอยู่ที่ระดับประมาณ 57% ณ สิ้นเดือนกันยายน 2555

บริษัท ดั๊บเบิ้ล เอ (1991) จำกัด (มหาชน) (DA)
อันดับเครดิตองค์กร:	                                    BBB
อันดับเครดิตตราสารหนี้:
AA136A: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 5,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2556	       BBB
AA148A: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 2,500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2557	       BBB
DA15DA: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 2,500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2558	       BBB
DA16DA: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 1,500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2559	       BBB
DA17DA: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2560	       BBB
หุ้นกู้ไม่มีประกันในวงเงินไม่เกิน 8,500 ล้านบาท ไถ่ถอนภายในปี 2561	BBB
แนวโน้มอันดับเครดิต:	                                 Negative
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ santaya@trisrating.com  โทร. 0-2231-3011 ต่อ 500 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2556  ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่เพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยมิได้รับอนุญาต การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/ratinginformation/rating_criteria.html


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ