ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่มีประกันในวงเงินไม่เกิน 4,000 ล้านบาทของ บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “A+” พร้อมทั้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่มีประกันชุดเดิมของบริษัทที่ระดับ “A+” เช่นกัน โดยแนวโน้มยังคง “Stable” หรือ “คงที่” บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปชำระหนี้เงินกู้ยืม อันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงความเป็นผู้นำธุรกิจของบริษัทในฐานะผู้ประกอบการโรงพยาบาลเอกชนรายใหญ่ที่สุดในประเทศ ความสามารถในการรองรับและให้บริการผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้น ตลอดจนเครือข่ายขนาดใหญ่ของบริษัท รวมถึงคณะผู้บริหาร บุคลากร และผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ที่มีความสามารถและมากประสบการณ์ บริการที่มีคุณภาพในระดับสูง และเครื่องมืออุปกรณ์ที่มีมาตรฐาน อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นทั้งจากผู้ให้บริการธุรกิจเพื่อสุขภาพในประเทศและจากประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงการลงทุนในอนาคตของบริษัทที่อาจจะใช้เงินทุนจากการกู้ยืม ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” ของบริษัทกรุงเทพดุสิตเวชการสะท้อนถึงความคาดหมายของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะสามารถคงความเป็นผู้นำในธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนทั้งในประเทศและในภูมิภาค อีกทั้งยังคาดหวังให้บริษัทดึงดูดผู้ป่วยให้มาใช้บริการเพิ่มขึ้นและคงผลประกอบการที่เข้มแข็งเอาไว้ได้ โดยการลงทุนหรือการซื้อกิจการใดใดในอนาคตควรมีการพิจารณาอย่างรอบคอบเพื่อคงระดับความเสี่ยงทางการเงินให้อยู่ในระดับต่ำ
บริษัทกรุงเทพดุสิตเวชการก่อตั้งในปี 2512 เพื่อดำเนินธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนภายใต้ชื่อโรงพยาบาลกรุงเทพ บริษัทเป็นผู้นำธุรกิจในฐานะผู้ประกอบการโรงพยาบาลเอกชนรายใหญ่ที่สุดในประเทศ ปัจจุบันบริษัทมีโรงพยาบาลในเครือทั้งหมด 29 แห่งภายใต้ตราสัญลักษณ์โรงพยาบาลในประเทศที่เป็นที่รู้จักและยอมรับอย่างแพร่หลายจำนวน 5 ตราสัญลักษณ์ และภายใต้ตราสัญลักษณ์โรงพยาบาลต่างประเทศอีก 1 ตราสัญลักษณ์ โดยมีโรงพยาบาลที่ประกอบกิจการภายใต้ชื่อโรงพยาบาลกรุงเทพ 15 แห่ง ภายใต้ชื่อโรงพยาบาลสมิติเวช 3 แห่ง ภายใต้ชื่อโรงพยาบาลบีเอ็นเอช 1 แห่ง และอีก 2 แห่งภายใต้ชื่อ Royal International Hospital และตราสัญลักษณ์โรงพยาบาลอีก 2 ตรา คือ กลุ่มโรงพยาบาลพญาไท (PYT) และกลุ่มโรงพยาบาลเปาโล (Paolo) บริษัทมีความสามารถในการให้บริการผู้ป่วยทั้งสิ้น 4,265 เตียง ซึ่งรวมโรงพยาบาลกรุงเทพอุดรซึ่งเพิ่งเปิดใหม่ที่มีจำนวนเตียงรวม 120 เตียงเข้ามาด้วย ฐานลูกค้าของบริษัทครอบคลุมกลุ่มคนไข้ระดับกลางถึงระดับบนในหลากหลายทำเล ทั้งนี้ โรงพยาบาลในเครือของบริษัทจำนวน 12 แห่งได้รับการรับรองมาตรฐานจาก Joint Commission International (JCI)
ความได้เปรียบในการแข่งขันของบริษัทมาจากความหลากหลายทั้งในด้านบริการ ฐานลูกค้า และทำเลที่ตั้ง บริษัทเป็นศูนย์รวมของบุคลากรซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ พยาบาล พนักงานคลังยาและเวชภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุด รวมทั้งบริษัทมีเครือข่ายระบบส่งต่อผู้ป่วยที่แข็งแกร่งที่สุดด้วย โรงพยาบาลในกลุ่มเน้นการรักษาและให้บริการระดับตติยภูมิ ซึ่งจะช่วยปรับเพิ่มรายได้และการใช้เครื่องมืออุปกรณ์ทางการแพทย์รวมทั้งบริการตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการมากยิ่งขึ้น การประหยัดจากขนาดซึ่งเป็นผลจากการใช้บริการห้องปฏิบัติการ การจัดซื้อยา เวชภัณฑ์และเครื่องมือ ทางการแพทย์หลักร่วมกัน จะก่อให้เกิดประโยชน์ในการใช้ต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น นอกจากนี้ การนำระบบบริหารเงินโดยการทำ Cash Pooling มาใช้กับโรงพยาบาลในกลุ่ม ยังสามารถช่วยลดระดับความต้องการเงินกู้ระยะสั้นในแต่ละโรงพยาบาล และลดต้นทุนทางการเงินของกลุ่มโดยรวมลงด้วย
รายได้จากการดำเนินกิจการโรงพยาบาลของบริษัทในช่วงปี 2550-2554 มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยสะสมต่อปีที่ระดับ 14% บริษัทมีรายได้จากธุรกิจโรงพยาบาลสำหรับช่วง 9 เดือนแรกของปี 2555 ที่ 32,655 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากปัจจัยหลายประการ ได้แก่ การเติบโตของจำนวนคนไข้ ความซับซ้อนของโรค จำนวนผู้ป่วยส่งต่อที่เพิ่มขึ้น และการรวมรายได้จากกลุ่มโรงพยาบาลพญาไทและเปาโลเข้ามา โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2555 โรงพยาบาลมีความสามารถในการให้บริการผู้ป่วยนอก 20,465 คนต่อวัน เพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และรองรับผู้ป่วยใน 2,905 เตียงต่อวัน ซึ่งเพิ่มขึ้น 9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน รายได้จากผู้ป่วยประมาณ 54%-55% มาจากผู้ป่วยใน และที่เหลือมาจากผู้ป่วยนอก ส่วนรายได้จากกลุ่มผู้ป่วยที่ชำระเงินเองมีมากกว่า 70% ของรายได้รวม
สถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งของบริษัทได้รับแรงหนุนจากผลการดำเนินงานที่เข้มแข็ง เงินทุนจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นจาก 4,372 ล้านบาทในปี 2553 เป็น 6,605 ล้านในปี 2554 และ 6,036 ล้านบาทสำหรับช่วง 9 เดือนแรกของปี 2555 อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายปรับตัวดีขึ้น จาก 10 เท่า ในปี 2553 เป็น 17 เท่าสำหรับงวด 9 เดือนแรกของปี 2555 ภาระหนี้ของบริษัทเพิ่มขึ้นในระยะ 2 ปีที่ผ่านมา โดยเพิ่มขึ้นจาก 10,751 ล้านบาท ณ ปลายปี 2553 มาอยู่ที่ 19,834 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนกันยายน 2555 เนื่องจากบริษัทได้รับเอาภาระหนี้ของกลุ่มโรงพยาบาลพญาไทและเปาโลเข้ามาหลังการควบรวมกิจการ และเป็นผลจากการลงทุนในโรงพยาบาลแห่งใหม่และบริษัทในเครือ อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนปรับลดลงจาก 39.8% ในปี 2553 มาอยู่ที่ 34.9% ณ สิ้นเดือนกันยายน 2555 เนื่องจากบริษัทมีฐานทุนเพิ่มขึ้น อัตรากำไรจากการดำเนินงานค่อนข้างเสถียรอยู่ที่ระดับ 20%-22% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา
บริษัทวางแผนขยายเครือข่ายโรงพยาบาลในจังหวัดเชียงใหม่ ระยอง และขอนแก่น และเมื่อไม่นานนี้ บริษัท รอยัลบางกอก เฮ็ลธ์แคร์ จำกัด (RBH) ซึ่งเป็นบริษัทลูกของบริษัท ได้เข้าซื้อหุ้นสามัญจำนวน 3,741,612 หุ้นซึ่งคิดเป็น 24.94% ของทุนที่ออกแล้วของ บริษัท โรงพยาบาลกรุงธน จำกัด (มหาชน) (KDH) รวมมูลค่า 205.8 ล้านบาท โดยใช้เงินทุนจากการดำเนินงานเป็นเงินทุนในการเข้าซื้อหุ้นครั้งนี้ ทั้งนี้ บริษัทรอยัลบางกอก เฮ็ลธ์แคร์จะยื่นคำเสนอซื้อหุ้นโรงพยาบาลกรุงธนทั้งหมด (หรือประมาณ 55% ของทุนที่ออกแล้ว) ต่อผู้ถือหุ้นทั่วไปในระหว่างวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2556 ถึง 18 มีนาคม 2556 นี้ โดยมูลค่าการลงทุนอยู่ที่ประมาณ 454 ล้านบาท การลงทุนทั้งหมดดังกล่าวข้างต้นของบริษัทจะทำให้เครือข่ายโรงพยาบาลของบริษัทขยายกว้างขวางขึ้น และก่อให้เกิดการประหยัดต่อขนาดเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนลงทุนในธุรกิจที่ไม่ใช่โรงพยาบาลอีก เช่น การให้บริการห้องปฏิบัติการ การผลิตและจำหน่ายยา รวมถึงการให้บริการด้านเวชภัณฑ์ บริษัทคาดว่าจะใช้เงินลงทุนในช่วงปี 2556-2558 ประมาณปีละ 6,200-7,700 ล้านบาท ทริสเรทติ้งคาดหวังให้บริษัทบริหารโครงสร้างเงินทุนอย่างระมัดระวังเพื่อคงความแข็งแกร่งทางการเงินเอาไว้
BGH133A: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2556 A+ BGH143A: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2557 A+ BGH146A: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 1,970 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2557 A+ BGH153A: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 2,500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2558 A+ BGH166A: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2559 A+ หุ้นกู้ไม่มีประกันในวงเงินไม่เกิน 4,000 ล้านบาท ไถ่ถอนภายในปี 2566 A+ แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com ติดต่อ santaya@trisrating.com โทร. 0-2231-3011 ต่อ 500 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500 บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2556 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่เพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยมิได้รับอนุญาต การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/ratinginformation/rating_criteria.html