ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่มีประกันวงเงินไม่เกิน 1,500 ล้านบาท “บ. เบทาโกร” ที่ระดับ “A/Stable”

ข่าวทั่วไป Thursday April 4, 2013 13:02 —ทริส เรตติ้ง

ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตให้แก่หุ้นกู้ไม่มีประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 1,500 ล้านบาทของ บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “A” พร้อมทั้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่มีประกันชุดปัจจุบันของบริษัทที่ระดับ “A” เช่นกัน โดยแนวโน้มยังคง “Stable” หรือ “คงที่” ทั้งนี้ บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ไปใช้ชำระหนี้และใช้ในการขยายการดำเนินงานตามแผน อันดับเครดิตสะท้อนถึงผลงานของบริษัทในธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหาร ตลอดจนการดำเนินธุรกิจแบบครบวงจรในกลุ่มผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ และนโยบายการขยายธุรกิจในรูปแบบการร่วมทุน ทั้งนี้ การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานของบริษัทที่ค่อนข้างต่ำ รวมถึงความเสี่ยงที่เกิดจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของต้นทุนธัญพืชและราคาสินค้าเกษตรซึ่งมีความผันผวนเช่นเดียวกับสินค้าโภคภัณฑ์ด้วย ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังคงดำรงสถานะการเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ในธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารได้ต่อไป โดยรายได้จากผลิตภัณฑ์อาหารจะช่วยลดความผันผวนของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ของบริษัทได้บางส่วน ทั้งนี้ คาดว่าบริษัทจะคงนโยบายในการรักษาอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างทุนให้อยู่ในระดับ 50% ในระยะกลางถึงระยะยาว

บริษัทเบทาโกรก่อตั้งในปี 2510 โดยกลุ่มตระกูลแต้ไพสิฐพงษ์ และปัจจุบันมีสถานะเป็นหนึ่งในผู้นำในกลุ่มเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารของไทย ณ เดือนธันวาคม 2555 ตระกูลแต้ไพสิฐพงษ์ถือหุ้นในบริษัททั้งโดยตรงในสัดส่วน 14.33% ของหุ้นทั้งหมด และถือหุ้นทางอ้อมผ่านบริษัทแม่คือ บริษัท เบทาโกร โฮลดิ้ง จำกัด อีก 69.45% ธุรกิจของบริษัทแบ่งออกเป็น 6 สาย ประกอบด้วย ธุรกิจอาหารสัตว์ ธุรกิจไก่ ธุรกิจสุกร ธุรกิจเครือภูมิภาคและอาหาร ธุรกิจสุขภาพสัตว์ และธุรกิจอื่น ๆ ระหว่างปี 2550-2554 รายได้จากธุรกิจไก่มีสัดส่วนมากที่สุดคิดเป็น 40% ของรายได้รวมของบริษัท รองลงมาคือธุรกิจอาหารสัตว์ (37%) และธุรกิจสุกร (14%) รายได้จากการขายภายในประเทศคิดเป็น 86% ของรายได้รวมของบริษัทในปี 2554 ในขณะที่รายได้จากการส่งออกมีสัดส่วน 14%

ตั้งแต่การร่วมทุนกับบริษัทญี่ปุ่นครั้งแรกในปี 2523 บริษัทก็ยังคงดำเนินนโยบายการร่วมทุนมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการร่วมทุนกับหุ้นส่วนชาวญี่ปุ่น การขยายธุรกิจผ่านการร่วมทุนนอกจากจะเพิ่มช่องทางการจำหน่ายสำหรับการส่งออกแล้ว ยังเป็นประโยชน์แก่บริษัทในการปรับปรุงการดำเนินงานและรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีด้วย โดยเฉพาะเทคโนโลยีการเลื้ยงสุกร SPF (Specific Pathogen Free) ซึ่งเป็นการเลี้ยงสุกรให้ปลอดจากโรคและสารตกค้าง ผลสำเร็จจากการร่วมทุนทำให้บริษัทเติบโตโดยลำดับจนเป็นผู้นำในการผลิตเนื้อสุกรคุณภาพสูงในประเทศไทยและมีส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นอันดับ 3 ในธุรกิจเนื้อไก่ ปัจจุบันบริษัทดำเนินธุรกิจไก่และสุกรแบบครบวงจรตั้งแต่อาหารสัตว์ไปจนถึงการแปรรูปเนื้อไก่และสุกรเป็นอาหารสำเร็จรูป การดำเนินธุรกิจแบบครบวงจรส่งผลให้สินค้าของบริษัทมีมาตรฐานในระดับสากลทั้งในด้านความปลอดภัยและการตรวจสอบย้อนกลับ ตลาดส่งออกหลักของบริษัทคือประเทศญี่ปุ่นและกลุ่มประเทศประชาคมยุโรป โดยสินค้าที่ส่งออกไปประเทศญี่ปุ่นส่วนใหญ่เป็นการส่งออกผ่านทางผู้ร่วมทุนของบริษัท

บริษัทให้ความสำคัญในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผลิตภัณฑ์และสร้างตราสินค้าเพื่อลดผลกระทบจากความผันผวนของราคาผลิตภัณฑ์พื้นฐานของบริษัทซึ่งมีลักษณะเช่นเดียวกับสินค้าโภคภัณฑ์ ในระหว่างปี 2549-2554 ผลิตภัณฑ์อาหารที่มีมูลค่าเพิ่มคิดเป็นสัดส่วน 16%-18% ของยอดขายรวมของบริษัทในแต่ละปี สำหรับตลาดในประเทศนั้น บริษัทได้พัฒนาช่องทางการจำหน่ายของตนเองผ่าน “ร้านเบทาโกร” เพื่อให้บริการผู้ประกอบการอุตสาหกรรมและร้านอาหาร โดย ณ เดือนธันวาคม 2555 บริษัทมีร้านเบทาโกร 97 สาขาทั่วประเทศไทยและมีเป้าหมายจะเปิดเพิ่มเป็น 147 สาขาภายในปี 2557

ผลประกอบการของบริษัทในปี 2554 อยู่ในระดับที่ดีตามวัฏจักรขาขึ้นของอุตสาหกรรม โดยยอดขายเพิ่มขึ้นเป็น 58,850 ล้านบาทในปี 2554 หรือเพิ่มขึ้น 16.7% จากปี 2553 ด้วยปัจจัยสนับสนุนหลักคือปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นในธุรกิจอาหารสัตว์และราคาเนื้อสัตว์ที่ปรับตัวสูงขึ้น อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นจาก 12.9% ในปี 2553 เป็น 14.3% ในปี 2554 เนื่องจากราคาเนื้อไก่และเนื้อหมูที่ปรับตัวสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) เพิ่มขึ้น 29% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็น 5,656 ล้านบาทในปี 2554

หลังจากราคาเนื้อสัตว์ปรับตัวสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ในปี 2554 อุตสาหกรรมเนื้อสัตว์บกได้เข้าสู่วัฏจักรตกต่ำในปี 2555 ผลการดำเนินงานของผู้ประกอบการสัตว์บกหลายรายลดลงอย่างมากในปี 2555 เนื่องจากผู้ผลิตหลายรายได้ขยายกำลังการผลิตจนทำให้เกิดปัญหาอุปทานล้นตลาด ตามข้อมูลของสมาคมอาหารสัตว์ไทย ราคาเนื้อไก่เฉลี่ยปรับตัวลดลงเหลือ 35.50 บาทต่อกิโลกรัมในปี 2555 หรือลดลง 20.8% เมื่อเทียบกับราคาเฉลี่ยในช่วงเดียวกันของปีก่อน ราคาเนื้อสุกรเฉลี่ยก็ลดลงเป็น 53.99 บาทต่อกิโลกรัมหรือลดลง 16.1% เมื่อเทียบกับปี 2554 นอกเหนือจากราคาเนื้อสัตว์บกที่ตกต่ำแล้ว ต้นทุนอาหารสัตว์ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมากในครึ่งหลังของปี 2555 เนื่องจากเกิดภาวะแห้งแล้งในประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นผู้ผลิตถั่วเหลืองอันดับหนึ่งของโลก แรงกดดันจากราคาเนื้อสัตว์บกที่ปรับตัวลงและต้นทุนอาหารสัตว์ที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทรวมถึงผู้ประกอบการอื่นในอุตสาหกรรมลดลงอย่างมากในปี 2555 ภาระหนี้ของบริษัทมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในปี 2555 จากระดับ 8,355 ล้านบาทในช่วงสิ้นปี 2554 เนื่องจากมีการลงทุนขยายธุรกิจตามแผนและความต้องการใช้เงินทุนหมุนเวียนเพิ่มขึ้นหลังจากวัตถุดิบอาหารสัตว์มีราคาสูงขึ้นมาก โดย ณ สิ้นปี 2555 ราคากากถั่วเหลืองนำเข้าเพิ่มขึ้นเป็น 19.11 บาทต่อกิโลกรัม เพิ่มขึ้น 33.5% จากสิ้นปี 2554 ราคาข้าวโพด ณ สิ้นปี 2555 ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 10.25 บาทต่อกิโลกรัมหรือเพิ่มขึ้น 3.3% จากสิ้นปี 2554 อย่างไรก็ตาม คาดว่าผลการดำเนินงานของบริษัทจะปรับตัวดีขึ้นเป็นลำดับในปี 2556 เนื่องจากราคาเนื้อไก่ได้ปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 40 บาทต่อกิโลกรัมในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2556 หรือเพิ่มขึ้น 12.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ราคาสุกรได้ปรับตัวขึ้นเช่นกันมาอยู่ที่ระดับ 60 บาทต่อกิโลกรัมในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2556 หรือเพิ่มขึ้น 11.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ในขณะเดียวกันราคากากถั่วเหลืองได้อ่อนตัวลงหลังจากประเทศบราซิลและอาร์เจนติน่าซึ่งเป็นผู้ผลิตถั่วเหลืองลำดับ 2 และลำดับ 3 มีผลผลิตเพิ่มขึ้น คาดว่าอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทจะปรับตัวดีขึ้นเป็นลำดับในระยะ 2-3 ปีข้างหน้า

บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) (BTG)
อันดับเครดิตตราสารหนี้:
BTG14NA: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 1,500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2557 A
BTG16NA: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2559 A
BTG18NA: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2561 A
BTG183A: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 300 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2561 A
หุ้นกู้ไม่มีประกันในวงเงินไม่เกิน 1,500 ล้านบาท ไถ่ถอนภายในปี 2561 A
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ santaya@trisrating.com  โทร. 0-2231-3011 ต่อ 500 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2556  ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่เพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยมิได้รับอนุญาต การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/ratinginformation/rating_criteria.html

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ