ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่มีประกันของ บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “BBB” ด้วยแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงความแข็งแกร่งของตราสัญลักษณ์สินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านของบริษัทในกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ตลอดจนเครือข่ายสาขาและตัวแทนจำหน่ายที่กว้างขวางทั่วประเทศ ประสบการณ์ที่ยาวนานในธุรกิจให้สินเชื่อเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน ฐานลูกค้าที่กระจายตัว คณะผู้บริหารที่มีประสบการณ์ และพนักงานขายที่ได้รับการอบรมเป็นอย่างดีและมีความใกล้ชิดกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งดังกล่าวถูกลดทอนโดยความอ่อนไหวในคุณภาพเครดิตของกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย นอกจากนี้ บริษัทยังมีประวัติผลงานในกลุ่มลูกค้าและผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ยังไม่มากพอ โดยกลุ่มลูกค้าและผลิตภัณฑ์ใหม่นี้คาดว่าจะช่วยเพิ่มและสร้างเสถียรภาพให้แก่สถานะทางการแข่งขันและผลประกอบการทางการเงินของบริษัทในอนาคต ทั้งนี้ ความสำเร็จในระยะยาวจากความพยายามดังกล่าวของบริษัทยังคงเป็นประเด็นกังวลอยู่ ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าคณะผู้บริหารของบริษัทจะสามารถดำเนินกลยุทธ์ทางการตลาดและนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ได้อย่างเสมอต้นเสมอปลายเพื่อดำรงความมั่นคงของสถานะทางการตลาดของบริษัทเอาไว้ให้ได้ตามแผน อีกทั้งผลประกอบการทั้งด้านการดำเนินธุรกิจและฐานะการเงินจะปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องและคุณภาพสินเชื่อจะได้รับการควบคุมให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้
พร้อมกันนี้ทริสเรทติ้งยังยกเลิก “เครดิตพินิจ” แนวโน้ม “Developing” หรือ “ไม่ชัดเจน” ซึ่งให้แก่อันดับเครดิตหุ้นกู้ของบริษัทตั้งแต่เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2555 โดยสืบเนื่องจากการที่ผู้ถือหุ้นอนุมัติให้บริษัทดำเนินการตามแผนการปรับโครงสร้างทางธุรกิจ คือ ให้บริษัทจำหน่ายลูกหนี้เช่าซื้อทั้งหมดแก่บริษัทย่อยซึ่งบริษัทถือหุ้นทั้งหมด คือ บริษัท ซิงเกอร์ ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งการจำหน่ายลูกหนี้ดังกล่าวอาจส่งผลให้เกิดการด้อยสิทธิทางโครงสร้าง (Structural Subordination) ในหนี้สินของบริษัท ซึ่งรวมทั้งหุ้นกู้ของบริษัทด้วย อย่างไรก็ตาม การด้อยสิทธิทางโครงสร้างก็บรรเทาลงจากโครงสร้างการให้เงินกู้ยืมจากบริษัทแก่บริษัทซิงเกอร์ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) ซึ่งจะช่วยยกระดับบุริมสิทธิในการเรียกร้องของบริษัทให้อยู่ในระดับเดียวกันกับเจ้าหนี้ของบริษัทซิงเกอร์ลีสซิ่ง (ประเทศไทย)
บริษัทซิงเกอร์ประเทศไทยได้ดำเนินการปรับโครงสร้างของกลุ่มโดยการขายลูกหนี้เช่าซื้อทั้งหมดแก่บริษัทซิงเกอร์ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2555 โดยบริษัทเน้นทางด้านธุรกิจการค้า (Trading) ในขณะที่บริษัทซิงเกอร์ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) ดำเนินธุรกิจทางการเงินซึ่งส่งต่อลูกค้ามาจากธุรกิจการค้าของบริษัทแม่ ภายใต้โครงสร้างใหม่ สินทรัพย์ดำเนินงานส่วนใหญ่ของบริษัทถูกโอนย้ายไปยังบริษัทซิงเกอร์ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) การโอนย้ายดังกล่าวส่งผลให้บุริมสิทธิในการเรียกร้องในหนี้สินของบริษัทซึ่งรวมทั้งหุ้นกู้จะด้อยสิทธิกว่าหนี้ของบริษัทซิงเกอร์ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) เนื่องจากสินทรัพย์ดำเนินงานส่วนใหญ่อยู่ภายใต้บริษัทซิงเกอร์ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) อย่างไรก็ตาม บริษัทมีการให้เงินกู้ยืมแก่บริษัทซิงเกอร์ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) ในการซื้อลูกหนี้เช่าซื้อจากบริษัท โครงสร้างของเงินให้กู้ยืมแก่บริษัทลูกช่วยลดทอนการด้อยสิทธิทางโครงสร้างในหนี้สินของบริษัท และช่วยยกระดับเจ้าหนี้ของบริษัท โดยในฐานะผู้ถือหุ้นของบริษัทซิงเกอร์ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) บริษัทมีสิทธิเรียกร้องในส่วนที่เหลืออยู่ในทุนของบริษัทลูกแห่งนี้ อีกทั้งบริษัทยังมีสถานะเป็นเจ้าหนี้ซึ่งอยู่ในระดับเดียวกับเจ้าหนี้ของบริษัทซิงเกอร์ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) ด้วย
ในปี 2553 บริษัทได้กลับมาเน้นการขายเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านซึ่งบริษัทมีประสบการณ์ที่ยาวนานโดยใช้กลยุทธ์ขยายตลาดให้ครอบคลุมกลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการขนาดเล็ก บริษัทเพิ่มและเน้นจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เป็นเครื่องมือสร้างรายได้ให้แก่ผู้ซื้อ เช่น ตู้แช่ และเครื่องเติมเงินสำหรับโทรศัพท์เคลื่อนที่ โดยรายได้จากผลิตภัณฑ์ทั้ง 2 ประเภทนี้คิดเป็น 26% ของยอดขายรวมในปี 2553 และเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 60% ในปี 2554 และ 2555 บริษัทมียอดบัญชีสินเชื่อคงค้างเพิ่มขึ้นอีกครั้งในปี 2554 โดยมีจำนวนบัญชีเพิ่มขึ้นจาก 140,730 บัญชีในปี 2553 เป็น 143,099 บัญชีในปี 2554 จำนวนบัญชีเพิ่มขึ้นเป็น 161,811 บัญชีในปี 2555 หรือเพิ่มขึ้น 13.1% จากปี 2554 ลูกค้าเป้าหมายกลุ่มใหม่นี้จัดว่ามีคุณภาพสูงกว่ากลุ่มลูกค้าเป้าหมายทั่วไปของบริษัท นอกจากนี้ กลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ยังช่วยสร้างรายได้ให้แก่ลูกค้าซึ่งจะช่วยเพิ่มความสามารถในการชำระหนี้และยกระดับคุณภาพสินเชื่อโดยรวมได้ด้วย อย่างไรก็ตาม เนื่องจากบริษัทเพิ่งจำหน่ายสินค้ากลุ่มใหม่นี้ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ดังนั้น ความสำเร็จของกลยุทธ์ใหม่ที่จะช่วยให้บริษัทสร้างความมั่นคงให้แก่สถานะทางการตลาดและผลประกอบการยังต้องอาศัยเวลาในการพิสูจน์ต่อไป
ลูกหนี้เช่าซื้อของบริษัทมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องหลังจากบริษัทหันมาให้ความสำคัญกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายใหม่และผลิตภัณฑ์ประเภทใหม่ โดยลูกหนี้เช่าซื้อเพิ่มขึ้นจาก 1,164 ล้านบาทในปี 2553 เป็น 1,296 ล้านบาทในปี 2554 และ 1,624 ล้านบาทในปี 2555 ในปลายปี 2551 บริษัทได้จัดตั้งฝ่ายควบคุมสินเชื่อเพื่อตรวจสอบและวิเคราะห์ใบสมัครสินเชื่อ โดยแยกอำนาจการอนุมัติสินเชื่อออกจากพนักงานขายเพื่อสร้างระบบการตรวจสอบและถ่วงดุลโดยมีวัตถุประสงค์ที่จะพัฒนาคุณภาพสินทรัพย์และมาตรฐานการปฏิบัติงาน ส่งผลให้อัตราส่วนลูกหนี้เช่าซื้อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อลูกหนี้เช่าซื้อรวมปรับตัวดีขึ้นจากระดับสูงที่ 34.2% ในปี 2550 เป็น 4.6% ณ สิ้นปี 2554 อัตราส่วนดังกล่าวปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยปรับลดลงเป็น 4.3% ในปี 2555 อัตราส่วนการเก็บเงินเฉลี่ย ณ ทุก ๆ สิ้นเดือนก็ปรับตัวดีขึ้นจากระดับต่ำที่ 69.5% ในปี 2550 เป็น 91.2% ในปี 2554 และ 93.1% ในปี 2555 อย่างไรก็ตาม ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา บริษัทได้เน้นการจำหน่ายผลิตภัณฑ์บางประเภทเป็นการเฉพาะ ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดหวังว่าบริษัทจะกระจายฐานลูกค้าเมื่อแยกตามประเภทของผลิตภัณฑ์เพื่อลดความเสี่ยงจากการกระจุกตัว
สถานะทางการเงินของบริษัทได้รับผลกระทบในปี 2549 และ 2550 เนื่องจากหนี้เสียจากสินเชื่อรถจักรยานยนต์ ส่งผลให้ฐานทุนของบริษัทอ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยลดลงเป็น 624 ล้านบาทในปี 2550 จาก 2,299 ล้านบาทในปี 2548 บริษัทได้ใช้ความพยายามอย่างมากในการฟื้นฟูธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างความแข็งแกร่งให้แก่กระบวนการและเกณฑ์การอนุมัติสินเชื่อให้มากขึ้น การเพิ่มความเข้มงวดในการควบคุมการเก็บเงิน การลดค่าใช้จ่ายดำเนินงานที่ไม่จำเป็น และการขยายประเภทผลิตภัณฑ์และฐานลูกค้า ส่งผลให้ความสามารถในการทำกำไรปรับเพิ่มขึ้นมากในปี 2554 โดยบริษัทมีผลกำไรสุทธิ 142 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 89 ล้านบาทในปี 2553 และผลขาดทุน 10 ล้านบาทในปี 2552 กำไรสุทธิปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็น 226 ล้านบาทในปี 2555 ซึ่งส่งผลให้อัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยปรับเพิ่มเป็น 9.2% ในปี 2555 จาก 6.6% ในปี 2554 และ 4.2% ในปี 2553 ผลจากการปรับตัวดีขึ้นของความสามารถในการทำกำไรทำให้ฐานทุนของบริษัทปรับเพิ่มขึ้นเป็น 1,193 ล้านบาทในปี 2555 จาก 848 ล้านบาทในปี 2553 ส่งผลให้อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนลดลงเป็น 39.1% ในปี 2555 จาก 42.8% ในปี 2554 และ 49.3% ในปี 2553 อัตราส่วน ณ ปัจจุบันอยู่ในระดับที่เพียงพอให้บริษัทสามารถขยายธุรกิจต่อไปได้ ในปี 2555 บริษัทได้ชำระหนี้เงินกู้ทั้งหมดภายใต้สัญญาปรับปรุงการชำระหนี้ด้วยเงินที่ได้รับจากการออกหุ้นกู้ การชำระหนี้ดังกล่าวช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นทางการเงินให้แก่บริษัทเนื่องจากภายใต้สัญญาปรับปรุงการชำระหนี้บริษัทจะไม่สามารถระดมทุนโดยการกู้ยืมได้ใหม่หากปราศจากความยินยอมจากเจ้าหนี้ส่วนใหญ่
โครงสร้างใหม่ของกลุ่มบริษัทซิงเกอร์คาดว่าจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน โดยบริษัทจะเน้นธุรกิจการค้าและขยายตลาดให้ครอบคลุมกลุ่มลูกค้าเป้าหมายใหม่ ๆ โดยอาศัยตราสินค้า “ซิงเกอร์” ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดี พร้อมเครือข่ายที่กว้างขวางด้วยจำนวนสาขา 204 แห่งและพนักงานขายประมาณ 3,500 คน ในขณะที่บริษัทซิงเกอร์ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) จะเป็นผู้ให้บริการทางการเงินแก่ลูกค้าของบริษัทที่ซื้อสินค้าภายใต้ตราสินค้า “ซิงเกอร์” ในอนาคต บริษัทซิงเกอร์ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) คาดว่าจะสามารถให้บริการทางการเงินแก่ตราสินค้าอื่น ๆ โดยเฉพาะในเขตเมืองที่ผู้บริโภคมีอำนาจในการเลือกซื้อตราสินค้าที่ต้องการ โดยที่ความสำเร็จในโครงสร้างใหม่ของกลุ่มบริษัทยังคงต้องอาศัยเวลาในการพิสูจน์
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com ติดต่อ santaya@trisrating.com โทร. 0-2231-3011 ต่อ 500 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500 บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2556 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่เพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยมิได้รับอนุญาต การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/ratinginformation/rating_criteria.html