ทริสเรทติ้งปรับเพิ่มอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เป็นระดับ “BBB+” จาก “BBB” และปรับแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทเป็น “Stable” หรือ “คงที่” จาก “Positive” หรือ “บวก” โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงความสามารถในการแข่งขันของบริษัทที่ดีขึ้นในตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบ รวมถึงกลยุทธ์การขยายโครงการคอนโดมิเนียมอย่างค่อยเป็นค่อยไปซึ่งจะช่วยสร้างความแข็งแกร่งและความหลากหลายของฐานรายได้ให้แก่บริษัท โดยคาดว่าการเปิดโครงการคอนโดมิเนียมจะส่งผลต่อโครงสร้างทางการเงินของบริษัทในระดับปานกลาง นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงความสามารถของบริษัทในการควบคุมต้นทุนค่าก่อสร้าง การบริหารการเงินที่รอบคอบ และผลงานที่เป็นที่ยอมรับในตลาดบ้านจัดสรรสำหรับผู้มีรายได้ปานกลางถึงต่ำ โดยอันดับเครดิตมีข้อจำกัดจากการเป็นบริษัทขนาดเล็กเมื่อเทียบกับผู้ประกอบการรายอื่น ๆ ที่ได้รับการจัดอันดับเครดิตเช่นกัน รวมถึงลักษณะของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นวงจรขึ้นลงและมีการแข่งขันสูง ความกังวลในเรื่องการขาดแคลนแรงงาน และต้นทุนที่ดินและค่าก่อสร้างที่ปรับตัวสูงขึ้น ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงความคาดหวังว่าบริษัทจะสามารถรักษาความสามารถในการแข่งขันเอาไว้ได้ รวมถึงสามารถปรับเปลี่ยนประเภทของโครงการที่พัฒนาให้สอดคล้องกับภาวะอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป ในกรณีที่บริษัทมีความต้องการกู้ยืมมากขึ้นสำหรับการขยายธุรกิจในช่วง 3 ปีข้างหน้านั้น ทริสเรทติ้งคาดหวังว่าบริษัทจะสามารถรักษาอัตราหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุนไว้ที่ระดับไม่เกิน 0.6 เท่า
บริษัทลลิล พร็อพเพอร์ตี้ก่อตั้งในปี 2531 และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2545 นายทวีศักดิ์ วัชรรัคคาวงศ์และนายไชยยันต์ ชาครกุลเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทในสัดส่วนรวมกัน ณ สิ้นเดือนเมษายน 2556 จำนวน 63% บริษัทเน้นการพัฒนาที่อยู่อาศัยแนวราบประเภทบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์เฮ้าส์ โดยมีราคาเฉลี่ยหลังละ 2.7 ล้านบาทในปี 2555 รายได้จากโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบยังคงเป็นรายได้หลักของบริษัทซึ่งมากกว่า 90% ของรายได้รวมในปี 2555 บริษัทเริ่มเปิดขายโครงการคอนโดมิเนียมในปี 2554 โดยราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่ 1.9 ล้านบาทต่อยูนิต
ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2556 บริษัทมีโครงการที่อยู่อาศัยจำนวน 34 โครงการ ด้วยมูลค่าเหลือขายประมาณ 9,700 ล้านบาท บริษัทมียอดขายที่รอการส่งมอบจากโครงการคอนโดมิเนียมมูลค่าประมาณ 500 ล้านบาท โดยประมาณ 26% ของยอดขายโครงการคอนโดมิเนียมที่รอการส่งมอบคาดว่าจะโอนได้ในปี 2556 และส่วนที่เหลือคาดว่าจะโอนได้ทั้งหมดในปี 2557 ทั้งนี้ ความสามารถในการควบคุมต้นทุนค่าก่อสร้างทำให้บริษัทมีความได้เปรียบในการเสนอราคาขายบ้านในระดับที่ไม่แพง ในขณะเดียวกันก็ยังมีอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงในระดับประมาณ 40% ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
ในปี 2555 ยอดขายของบริษัทอยู่ที่ 2,436 ล้านบาท โดยเพิ่มขึ้น 12% จากปี 2554 ทั้งนี้ การเติบโตของยอดขายส่วนหนึ่งเป็นเพราะได้รับการตอบรับที่ดีจากโครงการคอนโดมิเนียมที่เปิดขายในปี 2555 โดยยอดขายของคอนโดมิเนียมคิดเป็น 20% ของยอดขายทั้งหมดในปี 2555 อย่างไรก็ตาม ยอดขายของที่อยู่อาศัยแนวราบในปี 2555 ลดลง 10% เมื่อเทียบกับปี 2554 เนื่องจากได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในช่วงปลายปี 2554 ต่อเนื่องมาจนถึงต้นปี 2555 ในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2556 ยอดขายของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 940 ล้านบาทจาก 360 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปี 2555เนื่องจากผลกระทบจากภาวะน้ำท่วมหมดไปและการออกสินค้าในโครงการใหม่ๆ
รายได้รวมของบริษัทในปี 2555 ลดลงเล็กน้อยเป็น 1,720 ล้านบาท จาก 1,861 ล้านบาทในปี 2554 เป็นเพราะผลกระทบหลังจากภาวะน้ำท่วมในช่วงต้นปี 2555 และการเลื่อนโอนโครงการคอนโดมิเนียม “ลีโว” อย่างไรก็ตาม รายได้ในไตรมาสแรกของปี 2556 เพิ่มขึ้นอย่างมากเป็น 624 ล้านบาท โดยเพิ่มขึ้น 95% จากช่วงเดียวกันของปี 2555 ทั้งนี้ การเติบโตของรายได้เป็นผลจากยอดขายของโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบที่ฟื้นตัวจากภาวะน้ำท่วม โดยทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้ของบริษัทจะอยู่ที่ 2,000 ล้านบาทในปี 2556 เพิ่มขึ้นจากระดับ 1,700-1,900 ล้านบาทในช่วงปี 2553-2555 สำหรับรายได้ของบริษัทในปี 2557-2558 คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 2,000-2,500 ล้านบาทต่อปีเนื่องจากสัดส่วนรายได้จากคอนโดมิเนียมที่เพิ่มขึ้น
ฐานะทางการเงินของบริษัทยังคงแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยส่วนใหญ่ ในช่วงปี 2554 จนถึงช่วง 3 เดือนแรกของปี 2556 อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทยังคงอยู่ในระดับสูงที่ 40% ในขณะที่อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้อยู่ที่ 23%-26% ทั้งนี้ คาดว่าอัตรากำไรจากการดำเนินงานของบริษัทจะอยู่ที่ระดับ 23%-24% ในช่วง 3 ปีข้างหน้า โดย ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2556 บริษัทมีอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนอยู่ที่ 23.78% เพิ่มขึ้นจากระดับ 16.11% ในปี 2554 เนื่องจากบริษัทมีการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมมากขึ้น อย่างไรก็ตาม สภาพคล่องของบริษัทยังอยู่ในระดับที่ยอมรับได้เนื่องจากมีวงเงินสินเชื่อที่ยังไม่ได้เบิกใช้จำนวน 1,550 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2556 และคาดว่าจะมีเงินทุนจากการดำเนินงานที่ระดับ 350-400 ล้านบาทต่อปี
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com ติดต่อ santaya@trisrating.com โทร. 0-2231-3011 ต่อ 500 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500 บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2556 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่เพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยมิได้รับอนุญาต การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/ratinginformation/rating_criteria.html