ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่มีประกันของ บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “BBB+” ด้วยแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” ทั้งนี้ อันดับเครดิตสะท้อนถึงความสามารถในการแข่งขันที่แข็งแกร่งของบริษัทในอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ภายในประเทศและการเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ในผลิตภัณฑ์เม็ดพลาสติก LDPE Homopolymer (LDPE) และ LDPE Copolymer (EVA) นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงการมีสินค้าและผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย รวมทั้งภาระหนี้ที่ต่ำในปัจจุบันด้วย อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากลักษณะที่เป็นวงจรขึ้นลงของอุตสาหกรรมก่อสร้างและอุตสาหกรรมปิโตรเคมี รวมถึงความเสี่ยงจากต้นทุนราคาถ่านหินที่ผันผวน ประวัติการระดมทุนผ่านตลาดเงินที่ค่อนข้างสั้นของบริษัทหลังออกจากแผนฟื้นฟูกิจการ และภาระหนี้ที่คาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าบริษัทจะสามารถรักษาความแข็งแกร่งของธุรกิจปูนซีเมนต์เอาไว้ได้ และธุรกิจเม็ดพลาสติกจะฟื้นตัวในช่วง 2 ปีข้างหน้า นอกจากนี้ แนวโน้มยังสะท้อนถึงอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทในระดับที่ไม่เกิน 30% หรืออัตราส่วนเงินกู้รวมต่อส่วนของผู้ถือหุ้นในระดับที่ไม่เกิน 0.4 เท่าในช่วง 3 ปีข้างหน้า
บริษัททีพีไอ โพลีน ก่อตั้งในปี 2530 โดยตระกูลเลี่ยวไพรัตน์ โดย ณ เดือนสิงหาคม 2556 ตระกูลเลี่ยวไพรัตน์มีสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทคิดเป็นประมาณ 56% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด บริษัทดำเนินธุรกิจ 2 ประเภทหลัก ได้แก่ ธุรกิจผลิตปูนซีเมนต์ (ผลิตภัณฑ์ปูนซีเมนต์และคอนกรีต) และธุรกิจผลิตเม็ดพลาสติก (LDPE และ EVA) บริษัทมีรายได้ในปี 2555 อยู่ที่ 2.78 หมื่นล้านบาท โดยรายได้จากธุรกิจปูนซีเมนต์คิดเป็น 68% ของรายได้รวม ส่วนรายได้จากธุรกิจเม็ดพลาสติกคิดเป็น 26%
สถานะทางธุรกิจของบริษัทอยู่ในระดับปานกลาง บริษัทเป็นผู้ผลิตปูนซีเมนต์รายใหญ่อันดับ 3 ของประเทศ โดยมีกำลังผลิตที่ 9 ล้านตันต่อปี และมีส่วนแบ่งทางการตลาดในช่วงหลายปีที่ผ่านมาอยู่ที่ประมาณ 18% บริษัทมีสายการผลิตปูนซีเมนต์ครบวงจรตั้งแต่การผลิตปูนเม็ด ปูนซีเมนต์ ปูนสำเร็จรูป คอนกรีต และไฟเบอร์ซีเมนต์ โดยความต่อเนื่องในสายการผลิตปูนซีเมนต์ทำให้บริษัทได้รับประโยชน์จากการประหยัดจากขนาดและมีโครงสร้างต้นทุนที่สามารถแข่งขันในตลาดได้ อย่างไรก็ตาม ราคาถ่านหินที่ผันผวนถือเป็นความเสี่ยงสำคัญต่อต้นทุนการผลิตปูนซีเมนต์
บริษัทเป็นผู้ผลิตเม็ดพลาสติก LDPE และ EVA รายใหญ่ของประเทศ ด้วยกำลังการผลิตที่ 158,000 ตันต่อปี ในปี 2555 บริษัทมีสัดส่วนทางการตลาดในประเทศสำหรับผลิตภัณฑ์ LDPE อยู่ที่ 20% และปัจจุบันเป็นผู้ผลิต EVA รายเดียวในประเทศ บริษัทเน้นการผลิต EVA เพื่อส่งออกเป็นหลัก ธุรกิจเม็ดพลาสติกของบริษัทมีความเสี่ยงจากการที่บริษัทซื้อวัตถุดิบ Ethylene จากผู้จำหน่ายเพียงรายเดียว อีกทั้งยังมีความเสี่ยงจากราคาที่ผันผวนของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี ตลอดจนความท้าทายจากสินค้าทดแทน การเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยี และการแข่งขันจากผู้ผลิตทั่วโลกด้วยเช่นกัน บริษัทไม่มีข้อจำกัดในการซื้อ Ethylene จากผู้จำหน่ายรายปัจจุบันเพียงรายเดียว แต่ทั้งนี้ ความกังวลเกี่ยวกับการพึ่งพิงผู้จำหน่ายเพียงรายเดียวสะท้อนให้เห็นถึงประวัติการมีแหล่งซื้อ Ethylene ที่น้อยเกินไป อันดับเครดิตของบริษัทสะท้อนถึงประโยชน์จากการประกอบธุรกิจที่หลากหลาย โดยรายได้จากธุรกิจปูนซีเมนต์ที่อาจผันผวนตามภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศจะได้รับการถ่วงดุลโดยรายได้จากการส่งออกผลิตภัณฑ์ EVA
อันดับเครดิตของบริษัทมีข้อจำกัดบางส่วนจากประวัติการระดมทุนผ่านตลาดเงินที่ค่อนข้างสั้นหลังจากที่บริษัทออกจากกระบวนการฟื้นฟูกิจการ ทั้งนี้ การผิดนัดชำระหนี้และการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ในอดีตเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการประเมินความเสี่ยงด้านเครดิตของบริษัทด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งมองว่าความสัมพันธ์ระหว่างบริษัททั้งกับสถาบันการเงินไทยและต่างประเทศมีพัฒนาการที่ดีขึ้นในช่วงที่ผ่านมา
สถานะทางการเงินของบริษัทอ่อนแอลงในช่วงปี 2555 ถึงครึ่งแรกของปี 2556 เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2554 เนื่องจากราคาเม็ดพลาสติกที่ลดลงอย่างมากหลังจากที่ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) เริ่มผลิต LDPE ในปี 2554 ด้วยกำลังการผลิต 300,000 ตันต่อปี อย่างไรก็ตาม สถานะทางการเงินของบริษัทยังคงอยู่ในระดับที่สอดคล้องกับอันดับเครดิต ประมาณการของทริสเรทติ้งในกรณีฐานคาดว่ารายได้ของบริษัทจะเติบโตที่ 1%-4% ในปี 2556-2557 และที่ 12%-15% ในปี 2558-2559 โดยอัตราการเติบโตในช่วง 2 ปีข้างหน้าสะท้อนถึงแรงกดดันด้านราคาที่อาจจะยังคงมีอยู่ในธุรกิจเม็ดพลาสติก ส่วนการปรับเพิ่มขึ้นของการเติบโตในปี 2558 สะท้อนถึงแหล่งรายได้ใหม่จากโครงการขยายโรงงานผลิตปูนซีเมนต์แห่งที่ 4 ตลอดจนผลิตภัณฑ์ไฟเบอร์ซีเมนต์ และธุรกิจโรงไฟฟ้า
บริษัทมีอัตราส่วนกำไร (อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสี่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้) ในช่วงครึ่งแรกของปี 2556 และในปี 2555 อยู่ที่ 8.7% และ 8.1% ตามลำดับ เปรียบเทียบกับ 11.9% ในปี 2554 ทริสเรทติ้งคาดว่าในช่วง 3 ปีข้างหน้า อัตราส่วนกำไรของบริษัทจะอยู่ในระดับเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 9% จากราคาปูนซีเมนต์ที่คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นในช่วง 12 เดือนข้างหน้าและการฟื้นตัวของราคาเม็ดพลาสติกในช่วง 2 ปีข้างหน้า
ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2556 อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทอยู่ที่ 11.9% ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับระดับอันดับเครดิตของบริษัท อย่างไรก็ตาม การประเมินอันดับเครดิตของบริษัทยังพิจารณารวมถึงประมาณการภาระหนี้ของบริษัทที่คาดว่าจะปรับเพิ่มขึ้นจากการลงทุนด้วย โดยเฉพาะโครงการขยายโรงงานผลิตปูนซีเมนต์แห่งที่ 4 ค่าใช้จ่ายฝ่ายทุนของบริษัทในช่วง 3 ปีข้างหน้าคาดว่าจะอยู่ที่ 2.6 หมื่นล้านบาท อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทคาดว่าจะปรับตัวขึ้นสูงสุดในปี 2558 ที่ระดับประมาณ 30% ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งมองว่าโครงการขยายโรงงานผลิตปูนซีเมนต์เป็นโครงการที่มีความเสี่ยงด้านการตลาดต่อบริษัทในระยะปานกลาง ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะสามารถสร้างเงินทุนจากการดำเนินงานในระดับไม่ต่ำกว่า 2.5 พันล้านบาทต่อปีในช่วง 3 ปีข้างหน้า หนี้ระยะยาวของบริษัทที่จะครบกำหนดชำระคืนในปี 2556-2558 อยู่ในระดับต่ำกว่า 2 พันล้านบาทต่อปี อัตราส่วนสภาพคล่องของบริษัทคาดว่าจะอ่อนแอลงในช่วง 3 ปีข้างหน้าเมื่อภาระหนี้ของบริษัทเพิ่มสูงขึ้น ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมของบริษัทจะอยู่ในระดับเกินกว่า 10% ในขณะที่อัตราส่วนกำไร (ก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย) ต่อดอกเบี้ยจ่ายจะอยู่ในระดับเกินกว่า 4 เท่า
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com ติดต่อ santaya@trisrating.com โทร. 0-2231-3011 ต่อ 500 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500 บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2556 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่เพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยมิได้รับอนุญาต การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/ratinginformation/rating_criteria.html