ทริสเรทติ้งปรับแนวโน้มอันดับเครดิตของ บริษัท ดั๊บเบิ้ล เอ (1991) จำกัด (มหาชน) เป็น “Stable” หรือ “คงที่” จาก “Negative” หรือ “ลบ” เนื่องจากผลประกอบการของบริษัทที่ฟื้นตัวสู่ระดับปกติ ในขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่มีประกันของบริษัทที่ระดับ “BBB” โดยอันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงสถานะผู้นำของบริษัทในอุตสาหกรรมการผลิตกระดาษพิมพ์เขียนของไทย รวมถึงโรงงานผลิตเยื่อกระดาษและกระดาษที่ครบวงจร และตราสัญลักษณ์ที่แข็งแกร่งของผลิตภัณฑ์กระดาษ “ดั๊บเบิ้ล เอ” อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากความผันผวนด้านราคาซึ่งเป็นลักษณะโดยธรรมชาติของอุตสาหกรรมการผลิตเยื่อและกระดาษ ตลอดจนความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ และอุปสงค์ของกระดาษที่มีแนวโน้มชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจโลก นอกจากนี้ การปรับโครงสร้างกลุ่มบริษัทที่ยังไม่แล้วเสร็จและธุรกรรมบางรายการระหว่างบริษัทกับบริษัทที่เกี่ยวข้องที่ยังคงมีอยู่ในช่วงการปรับโครงสร้างยังคงเป็นประเด็นกังวลต่ออันดับเครดิตของบริษัท ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงความคาดหวังว่าบริษัทจะสามารถดำเนินงานโรงงานกระดาษ PM3 และโรงงาน Alizay ได้ตามแผน ในขณะที่ตราสินค้า “ดั๊บเบิ้ล เอ” ที่แข็งแกร่งคาดว่าจะช่วยให้บริษัทสามารถขยายตลาดและเพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เพื่อรองรับกำลังการผลิตกระดาษของกลุ่มที่เพิ่มขึ้นได้
บริษัทดั๊บเบิ้ล เอ (1991) เป็นผู้นำในการผลิตเยื่อกระดาษและกระดาษพิมพ์เขียนในประเทศไทย ปัจจุบันบริษัทมีโรงงานผลิตเยื่อกระดาษจำนวน 2 โรงซึ่งมีกำลังการผลิต 427,000 ตันต่อปี กำลังการผลิตกระดาษของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า ที่ระดับ 1,033,000 ตันต่อปี โดยในปี 2555 บริษัทมีรายได้จากการจำหน่ายกระดาษคิดเป็น 93.7% ของรายได้รวม รายได้ส่วนที่เหลือมาจากการจำหน่ายเยื่อกระดาษ บริษัทมียอดขายกระดาษกระจายตัวอยู่ในหลายภูมิภาค โดยมีช่องทางการจัดจำหน่ายที่เข้มแข็งครอบคลุมกว่า 138 ประเทศทั่วโลก ในช่วงครึ่งแรกของปี 2556 รายได้ของบริษัทมาจากการจำหน่ายภายในประเทศ 34% อีก 66% มาจากการส่งออกซึ่งประกอบด้วยรายได้จากตลาดในภูมิภาคเอเซีย 52% และภูมิภาคอื่น ๆ 14%
ณ เดือนมิถุนายน 2556 นายโยธิน ดำเนินชาญวนิชย์และบุคคลที่เกี่ยวข้องเป็นผู้ถือหุ้นหลักของบริษัทในสัดส่วน 76.2% โดยบริษัทได้ถอนการจดทะเบียนออกจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเมื่อวันที่ 17 เมษายน 2551 เพื่อปรับโครงสร้างธุรกิจของบริษัทและของบริษัทในกลุ่ม โดยบริษัทมีแผนจะจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์อื่นในภูมิภาคในปี 2552 อย่างไรก็ตาม เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจไม่เอื้ออำนวย บริษัทจึงต้องเลื่อนแผนดังกล่าวออกไป ในระหว่างปี 2552-2555 กลุ่มบริษัทมีการโอนย้ายและขายสินทรัพย์ระหว่างกันหลายรายการ ในขณะที่แผนการปรับโครงสร้างของกลุ่มบริษัทนั้นก็มีการเปลี่ยนแปลงอยู่บ่อยครั้งและใช้ระยะเวลานานกว่าที่ได้วางแผนไว้
ผลิตภัณฑ์หลักของบริษัทคือกระดาษพิมพ์เขียนโดยเฉพาะกระดาษรีมเล็ก ทั้งนี้ เมื่อเทียบราคากระดาษพิมพ์เขียนกับราคาเยื่อกระดาษแล้ว กระดาษพิมพ์เขียนมีราคาที่ค่อนข้างคงที่กว่า โดยเฉพาะภายใต้ตราสินค้า “ดั๊บเบิ้ล เอ” ซึ่งมีสัดส่วนการจำหน่ายประมาณ 60% ของปริมาณการจำหน่ายกระดาษทั้งหมดของบริษัท ในปี 2556 บริษัทมีรายได้รวม 19,226 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.0% โดยมีปริมาณขายกระดาษเพิ่มขึ้น 6.3% เป็นประมาณ 533,000 ตัน ในขณะที่ปริมาณการจำหน่ายเยื่อใยสั้นลดลง 14.1% เหลือประมาณ 63,000 ตัน ปริมาณที่ลดลงนี้สะท้อนถึงกำลังการผลิตใหม่ของโรงกระดาษ PM3 และความพยายามของบริษัทในการเพิ่มสัดส่วนการใช้เยื่อใยสั้นสำหรับการผลิตกระดาษ
ในเดือนพฤศจิกายน 2555 บริษัทเริ่มดำเนินงานโรงงานผลิตกระดาษแห่งที่ 3 (PM3) ซึ่งมีกำลังการผลิต 220,000 ตันต่อปี โดย PM3 นับเป็นโรงงานผลิตกระดาษที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุดในกลุ่มบริษัทและได้รับการออกแบบให้ใช้เยื่อใยสั้นเป็นวัตถุดิบทั้ง 100% ปัจจุบัน PM3 อยู่ในช่วงการทดลองเดินเครื่องและคาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ภายในปี 2556 โดยโครงการนี้มีมูลค่าการลงทุน 6,367 ล้านบาท ในเดือนมกราคม 2556 บริษัทได้ซื้อโรงงานผลิตกระดาษ Alizay ด้วยมูลค่า 18 ล้านยูโร โรงงานแห่งนี้ตั้งอยู่ในประเทศฝรั่งเศส มีกำลังการผลิตกระดาษ 300,000 ตันต่อปี แต่ได้หยุดผลิตไปในปี 2555 บริษัทต้องใช้เงินลงทุนจำนวน 17 ล้านยูโรเพื่อให้โรงงานแห่งนี้กลับมาผลิตได้อีก โดยเริ่มเดินเครื่องอีกครั้งในเดือนมิถุนายน 2556 ส่วนวัตถุดิบหลักคือเยื่อใยสั้นนั้นคาดว่าจะนำเข้าจากประเทศไทย โรงงานกระดาษแห่งนี้จะเป็นฐานการผลิตของบริษัทในการจำหน่ายกระดาษในภูมิภาคยุโรป ตะวันออกกลาง แอฟริกา และอเมริกาเหนือ
เพื่อสนับสนุนกำลังการผลิตกระดาษของบริษัทที่มีกว่า 1 ล้านตัน บริษัทได้นำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่สำหรับตลาดส่งออก ได้แก่ กระดาษ “ดั๊บเบิ้ล เอ” ขนาด 70 แกรม ซึ่งจะเริ่มส่งออกไปยังประเทศเวียดนาม มาเลเซีย จีน และไต้หวัน โดยผลิตภัณฑ์ใหม่นี้จะมีราคาต่ำกว่ากระดาษ “ดั๊บเบิ้ล เอ” ขนาด 80 แกรม แต่ยังคงคุณภาพภายใต้ตราสินค้า “ดั๊บเบิ้ล เอ” เช่นเดิม
ในช่วงครึ่งแรกของปี 2556 บริษัทมีรายได้ 8,408 ล้านบาท ลดลง 15.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน รายได้ที่ลดลงเป็นผลจากปริมาณขายเยื่อใยสั้นแก่ลูกค้าภายนอกที่ลดลง 67.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่ปริมาณขายกระดาษลดลง 8.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เหลือประมาณ 257,000 ตัน ทั้งนี้ ส่วนใหญ่ลดลงในกลุ่มกระดาษรีมใหญ่ (Folio) และกระดาษรีมเล็ก (Cut-sized) ภายใต้ตราสินค้าอื่น แต่ผลิตภัณฑ์กระดาษรีมเล็กภายใต้ตราสินค้า “ดั๊บเบิ้ล เอ” ยังคงเพิ่มขึ้น 1.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
อัตรากำไรของบริษัทในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2556 ปรับตัวดีขึ้นเนื่องจากต้นทุนชิ้นไม้สับและค่าพลังงานลดลง ประกอบกับบริษัทได้ลดการใช้เยื่อใยยาวสำหรับการผลิตกระดาษลงอย่างต่อเนื่อง อัตรากำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทจึงเพิ่มขึ้นจาก 8.2% ในปี 2554 เป็น 16.0% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2556 ต้นทุนชิ้นไม้สับลดลงเนื่องจากราคาไม้ลดลง ประกอบกับบริษัทเพิ่มสัดส่วนการใช้ไม้ที่บริษัทปลูกเองและรับซื้อไม้โดยตรงจากเกษตรกร นอกจากนี้ บริษัทยังดำเนินกลยุทธ์ส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกต้นกระดาษ (ยูคาลิปตัส) บนคันนาโดยบริษัทเป็นผู้จัดหากล้าไม้ให้อีกด้วย โดยกลยุทธ์นี้คาดว่าจะสามารถช่วยลดต้นทุนค่าไม้ของบริษัทและช่วยให้มั่นใจได้ถึงปริมาณไม้ที่เพียงพอกับความต้องการของบริษัทในระยะยาว ประโยชน์ดังกล่าวนี้คาดว่าจะเริ่มเห็นผลได้อย่างเต็มที่ตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นไป
บริษัทมีแผนจะลงทุนประมาณ 6,300 ล้านบาทสำหรับโครงการก่อสร้างโรงผลิตเยื่อกระดาษแห่งที่ 3 ที่มีขนาดกำลังการผลิต 472,500 ตันต่อปี ทั้งนี้ เพื่อเป็นวัตถุดิบสำหรับกำลังการผลิตกระดาษที่เพิ่มขึ้นเท่าตัวของบริษัท ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2556 บริษัทมีเงินกู้เพิ่มขึ้นเป็น 20,892 ล้านบาทจากการก่อสร้างโรงกระดาษ PM3 และการลงทุนในโรงผลิตกระดาษ Alizay อย่างไรก็ตาม จากที่คาดการณ์ว่าบริษัทจะมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายที่ระดับประมาณ 4,000-5,000 ล้านบาทต่อปี และภาระเงินกู้ที่ต้องชำระปีละประมาณ 3,000 ล้านบาทในปี 2558-2559 อัตราส่วนหนี้สินต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทจึงคาดว่าจะอยู่ที่ระดับประมาณ 60% ในช่วงระยะเวลาการก่อสร้างโรงงานผลิตเยื่อกระดาษแห่งที่ 3 โดยเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากระดับ 58.4% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2556
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com ติดต่อ santaya@trisrating.com โทร. 0-2231-3011 ต่อ 500 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500 บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2556 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่เพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยมิได้รับอนุญาต การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/ratinginformation/rating_criteria.html