ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท ซินเท็ค คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “BBB-” ด้วยแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” โดยอันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงผลงานที่ผ่านมาของบริษัทในงานโครงการก่อสร้างอาคารสูงและมูลค่างานในมือในระดับปานกลาง ทว่าจุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากลักษณะที่ผันผวนของธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ตลอดจนความเสี่ยงจากลักษณะงานก่อสร้างที่ไม่หลากหลาย และภาระหนี้ที่คาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงความคาดหวังว่าอัตราส่วนกำไรของบริษัทจะยังคงปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงครึ่งหลังของปี 2556 โดยที่แรงกดดันด้านต้นทุนค่าก่อสร้างน่าจะอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ และบริษัทจะไม่มีการตั้งสำรองขาดทุนจากโครงการบ้านเอื้ออาทรเพิ่มเติม นอกจากนี้ ยังคาดว่าการลงทุนในโครงการเซอร์วิสอพาร์ตเมนท์จะไม่ส่งผลให้อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทเพิ่มเกินกว่า 50% หรืออัตราส่วนหนี้มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้นเกินกว่า 1 เท่า
บริษัทซินเท็ค คอนสตรัคชั่นก่อตั้งในปี 2531 และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2536 บริษัทเป็นผู้ประกอบการรับเหมาก่อสร้างที่เน้นรับงานโครงการก่อสร้างอาคารสูงภาคเอกชน บริษัทมีรายได้ในปี 2555 อยู่ที่ 4.9 พันล้านบาท และรายได้ในปี 2556 คาดว่าจะอยู่ที่ 6 พันล้านบาท รายได้จากโครงการคอนโดมิเนียมคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 90% ของรายได้รวมของบริษัท สถานะทางธุรกิจในระดับปานกลางของบริษัทสะท้อนถึงผลงานก่อสร้างโครงการอาคารสูงเพื่อพักอาศัยและเพื่อการพาณิชย์ที่ผ่านมาในเขตกรุงเทพฯ ลูกค้าส่วนใหญ่ของบริษัทเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและมีความน่าเชื่อถือในระดับที่ยอมรับได้ ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา บริษัทรับรู้รายได้จากโครงการของ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 1 ใน 3 ของรายได้รวม ในขณะที่โครงการที่รับรู้รายได้สูงสุดของบริษัทในแต่ละปีคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 15% ของรายได้รวม บริษัทมีความเสี่ยงจากการจ่ายเงินล่าช้าและการมีข้อพิพาททางกฎหมายกับเจ้าของโครงการ
ณ เดือนมิถุนายน 2556 บริษัทมีงานที่ยังไม่ได้ส่งมอบมูลค่า 7.5 พันล้านบาท ซึ่งทริสเรทติ้งประเมินว่าเป็นสัดส่วนประมาณครึ่งหนึ่งของประมาณการรายได้พื้นฐานของบริษัทจนถึงปี 2557 ทั้งนี้ คาดว่าบริษัทจะรับรู้ประมาณครึ่งหนึ่งของมูลค่างานที่ยังไม่ได้ส่งมอบในครึ่งหลังของปี 2556 และส่วนที่เหลือในปี 2557
บริษัทมีผลประกอบการทางการเงินในปี 2012 ที่อ่อนแอ แต่ปรับตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งแรกของปี 2556 โดยสถานะทางการเงินยังคงยังอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับประมาณการของทริสเรทติ้งซึ่งได้คำนึงถึงผลกระทบจากอุทกภัยเมื่อช่วงปลายปี 2554 รวมไปถึงการปรับขึ้นของค่าแรงขั้นต่ำตั้งแต่เดือนเมษายน 2555 และผลขาดทุนจากโครงการบ้านเอื้ออาทร ในช่วงครึ่งแรกของปี 2556 บริษัทมีอัตราส่วนกำไร (อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้) ที่ปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ 3.6% เปรียบเทียบกับ 1.8% ในช่วงปี 2554-2555 โดยการปรับตัวที่ดีขึ้นของอัตราส่วนกำไรสะท้อนถึงการทยอยส่งมอบโครงการที่บริษัทลงนามในสัญญาก่อนปี 2555 ซึ่งเป็นโครงการที่ยังไม่ได้ปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำเต็มจำนวน อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัท ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2556 อยู่ที่ 23.7% ซึ่งเป็นระดับที่ใกล้เคียงกับเมื่อช่วง 3 ปีที่ผ่านมา
ในช่วง 3 ปีข้างหน้า ประมาณการพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีรายได้ประมาณ 6-6.7 พันล้านบาทต่อปี ซึ่งรวมถึงรายได้จากการเช่าโครงการลงทุนใหม่ในธุรกิจเซอร์วิสอพาร์ตเมนท์ซึ่งคาดว่าจะรับรู้รายได้ประมาณ 100 ล้านบาทในปี 2557 และเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 500 ล้านบาทในปี 2560 บริษัทวางแผนจะลงทุนประมาณ 2 พันล้านบาทในช่วง 3 ปีข้างหน้าเพื่อพัฒนาโครงการเซอร์วิสอพาร์ตเมนท์ 4 แห่งโดยเน้นกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติในกรุงเทพฯ ศรีราชา และจังหวัดอื่น ๆ ทั้งนี้ โอกาสที่รายได้จากการก่อสร้างของบริษัทจะเติบโตสูงกว่าประมาณการมีค่อนข้างจำกัดเนื่องจากตลาดคอนโดมิเนียมในเมืองคาดว่าจะเติบโตในอัตราค่อนข้างคงที่ ในขณะที่โอกาสที่รายได้ของบริษัทจะต่ำกว่าประมาณการอาจเกิดขึ้นได้จากการที่บริษัทมีมูลค่างานในมือที่จะรับรู้เป็นรายได้หลังปี 2557 ในระดับที่ต่ำมาก ประกอบกับความเสี่ยงที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัยอาจชะลอตัวลงได้
จากประมาณการพื้นฐาน ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนกำไรของบริษัทจะปรับตัวดีขึ้นจากประมาณ 4% ในปี 2556 มาอยู่ที่ประมาณ 6%-7% ในช่วง 3 ปีข้างหน้า เงินทุนจากการดำเนินงานของบริษัทน่าจะอยู่ที่ระดับประมาณ 200-300 ล้านบาทต่อปี แผนการลงทุนในโครงการเซอร์วิสอพาร์ตเมนท์คาดว่าจะทำให้อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทเพิ่มสูงขึ้นจาก 29.7% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2556 ไปที่ระดับสูงสุดประมาณ 50% ในปี 2559 ทั้งนี้ อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมและอัตราส่วนกำไร (ก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย) ต่อดอกเบี้ยจ่ายคาดว่าจะอ่อนแอลงเนื่องจากภาระหนี้ที่สูงขึ้น แต่คาดว่าจะยังอยู่ในระดับที่สอดคล้องกับอันดับเครดิตในปัจจุบัน โดยในช่วง 3 ปีข้างหน้า อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมคาดว่าจะอยู่ในระดับไม่ต่ำกว่า 10% ในขณะที่อัตราส่วนกำไรต่อดอกเบี้ยจ่ายจะอยู่ในระดับไม่ต่ำกว่า 3.5 เท่า
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com ติดต่อ santaya@trisrating.com โทร. 0-2231-3011 ต่อ 500 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500 บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2556 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่เพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยมิได้รับอนุญาต การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/ratinginformation/rating_criteria.html