ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท จีเอฟพีที จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “BBB+” ด้วยแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงผลงานของบริษัทในธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารในประเทศไทยที่ได้รับการยอมรับ ตลอดจนการดำเนินธุรกิจไก่แบบครบวงจร และนโยบายการเลี้ยงไก่ในฟาร์มของตนเอง ทั้งนี้ การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงการที่บริษัทพึ่งพาธุรกิจไก่เพียงธุรกิจเดียว ตลอดจนความผันผวนตามวัฏจักรของธุรกิจไก่ ความเสี่ยงจากโรคระบาด และความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงอัตราภาษีนำเข้าของประเทศผู้นำเข้าด้วย ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังคงดำรงความสามารถในการแข่งขันในธุรกิจไก่ในประเทศไทย ทั้งนี้ นโยบายการให้ความสำคัญในการพัฒนาอาหารแปรรูปจะช่วยลดความผันผวนของราคาสินค้าพื้นฐานในประเทศได้บางส่วน ทั้งนี้คาดว่าบริษัทจะรักษาโครงสร้างหนี้สินต่อทุนที่อยู่ในระดับปานกลาง และดำเนินนโยบายการขยายธุรกิจอย่างระมัดระวังเพื่อรับมือกับความผันผวนตามวัฏจักรของธุรกิจไก่
บริษัทจีเอฟพีทีก่อตั้งในปี 2524 โดยกลุ่มตระกูลศิริมงคลเกษม ปัจจุบันบริษัทมีสถานะเป็นหนึ่งในผู้นำในธุรกิจไก่แบบครบวงจรของไทย บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในเดือนมกราคม 2535 ณ เดือนเมษายน 2556 ตระกูลศิริมงคลเกษมถือหุ้นในสัดส่วน 55% ของหุ้นทั้งหมด บริษัทเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับไก่ที่ครบวงจร โดยครอบคลุมตั้งแต่อาหารสัตว์ ไก่เป็น เนื้อไก่สด ไก่แช่แข็ง และไก่ปรุงสุก ทั้งไก่เนื้อตลอดจนไก่พ่อแม่พันธุ์และปู่ย่าพันธุ์จะถูกเลี้ยงในฟาร์มของบริษัททั้งหมด การดำเนินธุรกิจแบบครบวงจรส่งผลให้สินค้าของบริษัทมีมาตรฐานในระดับสากลทั้งในด้านความปลอดภัยและการตรวจสอบย้อนกลับ ระหว่างปี 2551-2555 รายได้จากการจำหน่ายไก่เป็นและเนื้อไก่สดคิดเป็นสัดส่วน 40%-50% ของรายได้รวมของบริษัท ตามด้วยอาหารสัตว์ 30%-35% และไก่ปรุงสุก 20% รายได้จากการขายภายในประเทศคิดเป็น 85% ของรายได้รวมของบริษัทในปี 2555 ในขณะที่รายได้จากการส่งออกมีสัดส่วน 15% โดยประเทศในกลุ่มประชาคมยุโรปและญี่ปุ่นเป็นตลาดส่งออกหลักของบริษัท
บริษัทดำเนินนโยบายการร่วมทุนกับคู่ค้าต่างประเทศเพื่อเพิ่มช่องทางการจำหน่ายโดยถือหุ้น 49% ใน บริษัท แม็คคีย์ ฟู้ด เซอร์วิส (ประเทศไทย) จำกัด (McKey) และถือหุ้น 49% ใน บริษัท จีเอฟพีที นิชิเร (ประเทศไทย) จำกัด (GFN) McKey เป็นผู้จัดหาผลิตภัณฑ์ไก่ให้กับ “ร้านแม็คโดนัลด์” ในประเทศไทยและประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ Nichirei ซึ่งเป็นผู้ร่วมทุนใน GFN เป็นบริษัทสัญชาติญี่ปุนที่ดำเนินธุรกิจหลากหลาย โดยหนึ่งในธุรกิจหลักประกอบด้วยอาหารแปรรูป เนื้อสัตว์ และผลิตภัณฑ์ไก่ ในปี 2554 Nichirei มีส่วนแบ่งทางการตลาดในตลาดอาหารแช่แข็งในประเทศญี่ปุ่นในสัดส่วน 20% บริษัทจีเอฟพีทีเป็นผู้ส่งออกไก่รายใหญ่เป็นอันดับ 8 ของประเทศไทย โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดราว 3% ของปริมาณส่งออกผลิตภัณฑ์ไก่ของประเทศในปี 2555 ในขณะที่บริษัทร่วมทุนทั้ง 2 แห่งมีส่วนแบ่งการส่งออกผลิตภัณฑ์ไก่แห่งละ 3%-4% บริษัทร่วมทุนทั้ง 2 แห่งให้ส่วนแบ่งกำไรสำหรับ 6 เดือนแรกของปี 2556 แก่บริษัทรวม 92 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็น 11% ของกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ของบริษัท
นโยบายของบริษัทที่ให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ไก่แปรรูปสำหรับการส่งออกจะช่วยลดความผันผวนของราคาเนื้อไก่สดในตลาดภายในประเทศได้ โดยสินค้าส่งออกเกือบทั้งหมดของบริษัทเป็นผลิตภัณฑ์ไก่ปรุงสุก นอกจากการส่งออกโดยตรงแล้ว บริษัทยังจำหน่ายเนื้อไก่ชำแหละให้แก่โรงงานแปรรูปเนื้อไก่ในประเทศไทยและบริษัทร่วมทุนเพื่อการส่งออกด้วย ในปี 2555 และครึ่งแรกของปี 2556 รายได้จากผลิตภัณฑ์ไก่แปรรูปและปรุงสุกสำหรับการส่งออกโดยตรงและทางอ้อมคิดเป็นประมาณครึ่งหนึ่งของรายได้รวมของบริษัท
ผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วงปี 2551 จนถึงครึ่งแรกของปี 2556 ผันผวนตามวัฏจักรธุรกิจ ในระหว่างปี 2551-2554 ราคาเนื้อไก่ที่สูงส่งผลทำให้อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทสูงถึง 15%-17% จาก 10%-14% ในปี 2548-2550 รายได้ของบริษัทเติบโตเป็น 14,210 ล้านบาทในปี 2554 เพิ่มขึ้น 8.9% ต่อปีในระหว่างปี 2551-2554 เนื่องจากธุรกิจอาหารสัตว์และสินค้าที่เกี่ยวกับการส่งออก ในปี 2555 ธุรกิจไก่ในประเทศไทยได้รับผลกระทบจากทั้งปัญหาอุปทานไก่ล้นตลาด ต้นทุนอาหารสัตว์ที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และการปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทลดลงเหลือ 6.5% และ EBITDA ลดลงเหลือ 696 ล้านบาทในปี 2555 จาก 1,893 ล้านบาทในปี 2554 อย่างไรก็ตาม ผลการดำเนินงานของบริษัทก็ฟื้นตัวในช่วงครึ่งแรกของปี 2556 โดยยอดขายเพิ่มขึ้น 9.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็น 7,919 ล้านบาทในระยะ 6 เดือนแรกของปี 2556 เนื่องจากราคาเนื้อไก่ในประเทศที่ปรับตัวสูงขึ้นและการส่งออกไก่ที่เพิ่มขึ้น ข้อมูลจากสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทยระบุว่า ราคาเฉลี่ยไก่เนื้อในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2556 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 21% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2555 เป็น 42.2 บาทต่อกิโลกรัม รายได้จากการส่งออกของบริษัทในช่วงครึ่งแรกของปี 2556 เพิ่มขึ้น 47.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อัตรากำไรขั้นต้นในช่วงครึ่งแรกของปี 2556 ปรับตัวขึ้นเป็น 9.7% ซึ่งใกล้เคียงกับระดับอัตรากำไรปกติของบริษัท EBITDA ของบริษัทก็เพิ่มขึ้นเป็น 801 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 176% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน นอกจากความสามารถในการทำกำไรที่ดีขึ้นจากราคาไก่และยอดขายที่เพิ่มขึ้นแล้ว บริษัทร่วมทุน GFN ก็เริ่มให้กำไรตามวิธีส่วนได้เสียจำนวน 55 ล้านบาทแก่บริษัทในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2556 จากที่บริษัทต้องรับรู้ผลขาดทุนตามวิธีส่วนได้เสียจำนวน 151 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อน ในส่วนที่เหลือของปีคาดว่าผลการดำเนินงานของบริษัทจะยังคงอยู่ในระดับที่ดีโดยได้รับอานิสงส์จากราคาไก่ที่ยังทรงตัวในระดับสูงและการส่งออกผลิตภัณฑ์ไก่ที่ยังดีต่อเนื่อง นอกจากนี้ ราคาข้าวโพดซึ่งเป็นต้นทุนอาหารสัตว์ปรับตัวลดลงจากผลผลิตจำนวนมากในฤดูกาลผลิตนี้ อีกทั้งราคากากถั่วเหลืองก็ปรับตัวลดลงหลังจากผลผลิตเพิ่มขึ้นจากผู้ผลิตถั่วเหลืองรายใหญ่ของโลก
โครงสร้างหนี้สินต่อทุนของบริษัทอยู่ในระดับปานกลาง อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนอยู่ระหว่าง 30%-45% ในระหว่างปี 2551-2554 อัตราส่วนดังกล่าวปรับตัวขึ้นสู่ระดับสูงสุดที่ 49.4% ณ เดือนธันวาคม 2555 เนื่องจากความต้องการเงินทุนหมุนเวียนมีเพิ่มขึ้นในช่วงวัฏจักรตกต่ำของธุรกิจไก่และการลงทุนในบริษัทร่วมทุน GFN อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุน ณ เดือนมิถุนายน 2556 ปรับตัวดีขึ้นเป็น 40.9% โดยมีสาเหตุสำคัญมาจากการฟื้นตัวของความสามารถในการทำกำไร ตลอดจนความต้องการเงินทุนหมุนเวียนและการลงทุนที่ลดลง อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2556 อยู่ที่ระดับ 18.3% (ยังไม่ได้ปรับอัตราส่วนให้เป็นตัวเลขเต็มปี) ซึ่งนับเป็นระดับที่น่าพอใจ แม้ว่าอัตราส่วนนี้จะลดลงจาก 50%-70% ในช่วงปี 2551-2554 ก็ตาม
บริษัทมีแผนลงทุนประมาณปีละ 1,000-1,200 ล้านบาทในช่วงปี 2556-2558 เพื่อขยายฟาร์มไก่เนื้อและไก่พ่อแม่พันธุ์ ทั้งนี้ คาดว่าบริษัทจะมี EBITDA ปีละประมาณ 1,500-2,000 ล้านบาท ดังนั้น กระแสเงินสดจากการดำเนินงานของบริษัทจึงเพียงพอรองรับแผนการลงทุนของบริษัทได้ EBITDA ปีละประมาณ 1,500-2,000 ล้านบาท ดังนั้น กระแสเงินสดจากการดำเนินงานของบริษัทจึงเพียงพอรองรับแผนการลงทุนของบริษัทได้
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com ติดต่อ santaya@trisrating.com โทร. 0-2231-3011 ต่อ 500 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500 บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2556 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่เพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยมิได้รับอนุญาต การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/ratinginformation/rating_criteria.html