ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่มีประกันของ บริษัท ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “AA-” พร้อมทั้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่มีประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 8,250 ล้านบาทของบริษัทที่ระดับ “AA-” เช่นกัน โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปใช้ชำระหนี้หุ้นกู้ที่ครบกำหนดรวมทั้งใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนและลงทุนตามแผนงาน อันดับเครดิตสะท้อนถึงความเป็นผู้นำของบริษัทในฐานะผู้ผลิตปลาทูน่ากระป๋องรายใหญ่ระดับโลก รวมถึงการมีสินค้าและฐานลูกค้าที่หลากหลาย ตลอดจนตราสินค้าที่เป็นที่รู้จักในทวีปยุโรปและประเทศสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงความผันผวนของต้นทุนวัตถุดิบ ตลอดจนความเสี่ยงเรื่องโรคระบาด และการเปลี่ยนแปลงด้านกฎระเบียบข้อบังคับทางภาษีและกฎเกณฑ์การจับปลาทั่วโลกด้วย
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงมุมมองของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังคงรักษาความได้เปรียบในการแข่งขันเอาไว้ได้จากการประหยัดจากขนาดและความมีประสิทธิภาพในการผลิต โดยตลาดส่งออกที่กระจายตัวและสินค้าที่หลากหลายน่าจะช่วยให้บริษัทมีกระแสรายได้ที่มีเสถียรภาพในช่วงที่ต้นทุนวัตถุดิบปลาทูน่าและกุ้งมีความผันผวน ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดหวังว่าบริษัทจะคงวินัยทางการเงินเพื่อที่จะรักษาอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนให้อยู่ในระดับไม่สูงนักในภาวะที่บริษัทต้องเผชิญกับความท้าทายของอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์อาหารทะเลในปัจจุบัน
บริษัทไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ก่อตั้งในปี 2531 โดยตระกูลจันศิริ บริษัทเป็นหนึ่งในผู้นำในบรรดาผู้ผลิตอาหารทะเลแบบครบวงจรระดับโลก สินค้าของบริษัทครอบคลุมทั้งผลิตภัณฑ์อาหารที่ผลิตจากปลาทูน่า กุ้ง ปลาซาร์ดีน ปลาแซลมอน อาหารสัตว์และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2556 บริษัทมียอดขายจากผลิตภัณฑ์ปลาทูน่าคิดเป็น 49% ของยอดขายรวม จากกุ้งแช่แข็งและอาหารกุ้ง 24% อาหารสัตว์เลี้ยง 7% ปลาซาร์ดีนและแมคเคอเรล 6% และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ 14%
ปัจจุบันบริษัทมีปริมาณการผลิตผลิตภัณฑ์ปลาทูน่าประมาณ 300,000 ตันต่อปี ซึ่งคิดเป็น 1 ใน 5 ของผลิตภัณฑ์ปลาทูน่าทั่วโลกที่ประมาณ 1.6-1.7 ล้านตันต่อปี บริษัทมีฐานการผลิตใน 7 ประเทศซึ่งครอบคลุม 5 ทวีปทั่วโลก โดยฐานการผลิตหลักตั้งอยู่ในประเทศไทย สหรัฐอเมริกา กาน่า และซีเชลส์ นอกจากนี้ บริษัทยังมีฐานการผลิตในประเทศเวียดนาม ฝรั่งเศส และปาปัวนิวกินีด้วย ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2556 รายได้รวมของกลุ่มบริษัทมาจากตลาดสหรัฐอเมริกาคิดเป็นสัดส่วน 40% รองลงมาคือสหภาพยุโรป 30% ประเทศไทย 8% และประเทศญี่ปุ่น 7%
ผลประกอบการของบริษัทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2556 อ่อนตัวลงเนื่องจากความผันผวนของราคาปลาทูน่าและปัญหาโรค Early Mortality Syndrome (EMS) ที่ระบาดในฟาร์มกุ้งในประเทศไทย ราคาปลาทูน่าที่ผันผวนส่งผลต่อการชะลอคำสั่งซื้อของกลุ่มลูกค้าที่บริษัทรับจ้างผลิต อย่างไรก็ตาม รายได้จากผลิตภัณฑ์ปลาทูน่าภายใต้ตราสินค้าของบริษัทยังคงเพิ่มขึ้นโดยปัจจุบันบริษัทมีรายได้ในส่วนนี้คิดเป็นสัดส่วน 50% ของปริมาณสินค้าปลาทูน่าทั้งหมดที่บริษัทจำหน่าย ปัญหาโรคระบาดในฟาร์มกุ้งส่งผลอย่างมากต่อยอดขายอาหารกุ้งและกุ้งแช่แข็งในประเทศไทย โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2556 ปริมาณขายอาหารกุ้งลดลง 30% และกุ้งแช่แข็งลดลง 18.7% อย่างไรก็ตาม หากรวมยอดขายจากฐานการผลิตในประเทศอื่นแล้ว ปริมาณการขายกุ้งแช่แข็งของทั้งกลุ่มเพิ่มขึ้น 9.1% สาเหตุหลักเนื่องจากการเติบโตของตลาดกุ้งในประเทศสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ บริษัทยังได้ซื้อกิจการของ บริษัท แพ็คฟู้ด จำกัด (มหาชน) (PPC) และรวมผลประกอบการของบริษัทแพ็คฟู้ดเข้ามาในงบการเงินของบริษัทตั้งแต่เดือนมีนาคม 2556 เป็นต้นมา ส่งผลให้รายได้รวมของบริษัทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2556 เพิ่มขึ้นเป็น 2,694 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเพิ่ม 4.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2555
แม้ว่าอัตรากำไรของบริษัทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2556 จะอ่อนตัวลง แต่เมื่อพิจารณาตามรายไตรมาสแล้วพบว่ามีพัฒนาการที่ดีขึ้น ทั้งนี้ อัตรากำไรของบริษัทลดลงจากต้นทุนปลาทูน่าที่ผันผวนและต้นทุนกุ้งที่เพิ่มขึ้นสูงอย่างมากจากเหตุโรคระบาด EMS หลังจากที่ราคาปลาทูน่าปรับขึ้นถึงระดับ 2,325 ดอลลาร์สหรัฐต่อตันในเดือนมีนาคม 2556 แล้วก็ลดลงอย่างต่อเนื่องอยู่ที่ 1,875 ดอลลาร์สหรัฐต่อตันในเดือนกันยายน 2556 และอยู่ที่ 1,400 ดอลลาร์สหรัฐต่อตันในเดือนธันวาคม 2556 อัตรากำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายลดลงเหลือ 5.5% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2556 เปรียบเทียบกับระดับปรกติที่ 5.6%-9.2% ที่บริษัทสามารถทำได้ในช่วงปี 2551-2555 การฟื้นตัวของกำไรจากการดำเนินงานของบริษัทในไตรมาสที่ 3 ของปี 2556 มีสาเหตุหลักมาจากความสามารถในการปรับราคาผลิตภัณฑ์กุ้งเพื่อสะท้อนต้นทุนราคาวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้น ในขณะเดียวกันอัตรากำไรของผลิตภัณฑ์ปลาทูน่าภายใต้ตราสินค้าของบริษัทก็ปรับตัวดีขึ้นในช่วงที่ราคาต้นทุนปลาทูน่าลดลง โดยอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ของบริษัทในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2556 เท่ากับ 2,217 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23% จากไตรมาสก่อน ซึ่งใกล้เคียงกับ EBITDA ปรกติของบริษัทที่อยู่ในระดับ 2,500 ล้านบาทต่อไตรมาส อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายของบริษัทฟื้นตัวสู่ระดับพอใช้ที่ 5.5 เท่าในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2556
อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุน ณ สิ้นเดือนกันยายน 2556 เพิ่มขึ้นแต่อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ที่ 49% บริษัทได้ปรับลดแผนการลงทุนจากเดิม 6,000 ล้านบาทต่อปีเป็น 3,500-4,500 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2556-2558 เพื่อรองรับความไม่แน่นอนของภาวะธุรกิจ ทริสเรทติ้งคาดว่าธุรกิจปลาทูน่าจะฟื้นตัวโดยเฉพาะในกลุ่มลูกค้าที่บริษัทรับจ้างผลิตภายหลังจากที่ราคาปลาทูน่าลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 3 ปีที่ 1,400 ดอลลาร์สหรัฐต่อตันในเดือนธันวาคม 2556 ทั้งนี้ ค่าเงินบาทที่อ่อนตัวลงจะส่งผลดีต่อผลการดำเนินงานของบริษัทในระยะสั้น และสถานการณ์โรคระบาดในฟาร์มกุ้งคาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นและส่งผลให้ผลผลิตลูกกุ้งในประเทศไทยเพิ่มขึ้น 20%-25% ในปี 2557 รวมทั้งการที่บริษัทปรับลดแผนลงทุนลงจะส่งผลให้กระแสเงินสดและอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนปรับตัวดีขึ้นสู่ระดับปรกติในอนาคตอันใกล้
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com ติดต่อ santaya@trisrating.com โทร. 0-2231-3011 ต่อ 500 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500 บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2557 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่เพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยมิได้รับอนุญาต การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/ratinginformation/rating_criteria.html