ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่มีประกันของ ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “A-” โดยแนวโน้มยังคง “Positive” หรือ “บวก” อันดับเครดิตสะท้อนถึงความสำเร็จในความพยายามสร้างความหลากหลายของธุรกิจและผลประกอบการที่ดีขึ้นภายหลังการรวมกิจการกับ บริษัท ทุนภัทร จำกัด (มหาชน) อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงความเชี่ยวชาญของคณะผู้บริหารในธุรกิจหลักของธนาคารคือธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์และธุรกิจตลาดทุน รวมถึงระดับเงินทุนของธนาคารที่อยู่ในระดับสูงด้วย อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตถูกลดทอนจากส่วนแบ่งทางการตลาดที่มีขนาดเล็ก รวมทั้งเครือข่ายที่มีอยู่อย่างจำกัด และต้นทุนทางการเงินที่สูง ทั้งนี้ คุณภาพสินทรัพย์และการเติบโตทางธุรกิจของธนาคารในอนาคตอาจได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของภาวะเศรษฐกิจไทยและความไม่แน่นอนทางการเมืองภายในประเทศ ในขณะที่การแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจธนาคารพาณิชย์และธุรกิจหลักทรัพย์อาจจำกัดความสามารถในการทำกำไรของกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (กลุ่มเกียรตินาคินภัทร) ได้เช่นกัน ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Positive” หรือ “บวก” สะท้อนการคาดการณ์ว่าธนาคารจะได้ประโยชน์จากการรวมกิจการเพื่อที่จะสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่องและรักษาระดับความสามารถในการทำกำไรไว้ได้ อีกทั้งยังสะท้อนความสามารถในการควบคุมคุณภาพสินทรัพย์ รวมทั้งการรักษาฐานเงินทุนที่มีเสถียรภาพไว้ได้ด้วยต้นทุนที่เหมาะสมและดำรงเงินกองทุนอย่างเพียงพอเพื่อรองรับความเสียหายที่เกินกว่าระดับที่คาดการณ์ไว้ได้
ธนาคารเกียรตินาคินเป็นธนาคารขนาดเล็กที่มีสินทรัพย์รวมใหญ่เป็นอันดับ 11 จากธนาคารพาณิชย์ไทยทั้งสิ้น 15 แห่ง โดย ณ เดือนธันวาคม 2556 มีส่วนแบ่งทางการตลาดของสินเชื่อที่ 1.9% และเงินรับฝากที่ 1.4% ภายหลังการรวมกิจการ กลุ่มเกียรตินาคินภัทรได้มีการปรับโครงสร้างโดยแบ่งธุรกิจออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มธุรกิจธนาคารพาณิชย์และกลุ่มธุรกิจตลาดทุน ธนาคารสามารถเสนอผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินแก่ลูกค้าได้อย่างครบวงจร การรวมกิจการยังช่วยเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันในธุรกิจตลาดทุน อีกทั้งแหล่งรายได้ของกลุ่มธุรกิจในปัจจุบันก็มีการกระจายตัวมากยิ่งขึ้นจากการมีรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยจากกลุ่มธุรกิจตลาดทุนจำนวนมาก ทั้งนี้ สถานะทางการเงินของธนาคารจะดียิ่งขึ้นหากได้รับประโยชน์จากการผสานความร่วมมือภายในกลุ่มได้อย่างดี
ธนาคารมีความเสี่ยงจากการกระจุกตัวของสินเชื่อ โดย ณ สิ้นปี 2556 ธนาคารมีสินเชื่อขนาดใหญ่ 2 กลุ่ม ได้แก่ สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ (73% ของสินเชื่อรวม) และสินเชื่อโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัย (19%) สินเชื่อของธนาคารขยายตัวอย่างต่อเนื่องด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ย 21% ระหว่างปี 2551-2555 อย่างไรก็ตาม ในปี 2556 ธนาคารชะลอการเติบโตของสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์เพื่อปรับปรุงคุณภาพของพอร์ตสินเชื่อรายย่อย ทั้งนี้ สินเชื่อรถยนต์เติบโต 10% ในปี 2556 เทียบกับ 27% ในปี 2555 อย่างไรก็ตาม สินเชื่อโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยกลับขยายตัวอย่างมาก โดยเติบโตถึง 32% ในปี 2556 เทียบกับ 21% ในปี 2555 ณ เดือนธันวาคม 2556 สินเชื่อรวมดอกเบี้ยค้างรับมีทั้งสิ้น 192.1 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% จากปี 2555 ธนาคารยอมรับความเสี่ยงได้ในระดับสูงโดยมีสินเชื่อที่มีความเสี่ยงและผลตอบแทนในระดับสูงเพื่อลดทอนต้นทุนทางการเงินที่สูง นอกจากนี้ ธนาคารยังมีความเสี่ยงด้านเครดิตในสินเชื่อรถยนต์ใช้แล้ว รวมถึงสินเชื่อวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ซึ่งนับเป็นสินเชื่อที่มีความเสี่ยงในระดับกลางถึงสูงอีกด้วย
ธนาคารพยายามเพิ่มคุณภาพสินทรัพย์โดยทำการปรับปรุงนโยบายการบริหารความเสี่ยงให้ดียิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม คุณภาพสินเชื่อของธนาคารถดถอยลงในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา โดยปริมาณสินเชื่อด้อยคุณภาพเพิ่มขึ้นจาก 4.7 พันล้านบาทในปี 2554 เป็น 5.6 พันล้านบาทในปี 2555 ซึ่งคิดเป็นอัตราการเพิ่ม 19% และเพิ่มขึ้นเป็น 7.3 พันล้านบาทในปี 2556 หรือคิดเป็นอัตราการเพิ่ม 29% อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อสินเชื่อรวมสำหรับปี 2556 เท่ากับ 3.8% เพิ่มขึ้นจากปี 2555 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 3.3% ธนาคารได้ตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญสำหรับลูกหนี้เช่าซื้อในปี 2556 โดยใช้วิธีประมาณค่าความเสียหายเป็นกลุ่มลูกหนี้ (Collective Approach) เพื่อปรับปรุงระบบการบริหารความเสี่ยงให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น สัดส่วนของปริมาณสำรองที่ธนาคารมีอยู่เทียบกับปริมาณสำรองขั้นต่ำเพิ่มขึ้นจาก 141% ในปี 2555 เป็น 187% ในปี 2556 อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพลดลงจาก 110% ในปี 2555 เป็น 100% ในปี 2556 ทั้งนี้ ธนาคารยังคงเผชิญกับความท้าทายในการรักษาคุณภาพสินเชื่อมิให้เสื่อมถอยลงไปอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่เอื้ออำนวยและสถานการณ์ทางการเมืองที่ยังไม่มีเสถียรภาพ
สถานะทางการเงินของธนาคารดีขึ้น โดยในปี 2556 ธนาคารมีกำไรสุทธิจากงบการเงินรวม 4.4 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 30% อันเป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิและรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย รวมทั้งการควบคุมค่าใช้จ่ายดำเนินงาน รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นอย่างมากจากค่าธรรมเนียมนายหน้าค้าหลักทรัพย์ อัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยในปี 2556 เท่ากับ 1.8% เพิ่มขึ้นจาก 1.6% ในปี 2555 อย่างไรก็ตาม แม้ว่าธนาคารจะรักษาระดับผลตอบแทนที่สูงในธุรกิจหลักเอาไว้ได้ แต่ยังคงมีต้นทุนทางการเงินที่สูงที่สุดในระบบซึ่งสะท้อนถึงความสามารถในการแข่งขันของคู่แข่งที่สูงกว่า
ธนาคารมีความเสี่ยงด้านสภาพคล่องในระดับหนึ่ง โดยธนาคารยังคงพึ่งพิงเงินฝากและเงินกู้ยืมจากกลุ่มลูกค้ารายใหญ่ซึ่งนอกจากจะมีต้นทุนทางการเงินที่สูงแล้วยังเป็นแหล่งเงินทุนที่มีความผันผวนง่ายอีกด้วย อย่างไรก็ดี ธนาคารมีนโยบายที่จะเพิ่มจำนวนบัญชีเงินฝากรายย่อยเพื่อให้แหล่งเงินทุนมีการกระจายตัวและมีเสถียรภาพดียิ่งขึ้น
เงินกองทุนตามกฎหมายของธนาคารยังคงแข็งแกร่ง โดยในปี 2556 ธนาคารมีอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ต่อสินทรัพย์เสี่ยงเท่ากับ 13.10% และอัตราส่วนเงินกองทุนรวมต่อสินทรัพย์เสี่ยงเท่ากับ 13.66% ซึ่งลดลงจากผลกระทบของการขยายตัวของสินเชื่อ อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนของธนาคารยังคงสูงกว่าอัตราส่วนขั้นต่ำที่กำหนดโดยธนาคารแห่งประเทศไทยที่ระดับ 6.00% และ 8.50% ตามลำดับ
KK14OA: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2557 A- KK165A: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 3,500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2559 A- KK168A: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 1,500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2559 A- KK16DA: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 975 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2559 A- KK187A: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 240 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2561 A- KK18DA: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 625 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2561 A- KK18DB: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 10 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2561 A- หุ้นกู้ไม่มีประกันในวงเงินไม่เกิน 10,000 ล้านบาท ไถ่ถอนภายในปี 2563 A- - KK154A: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 1,700 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2558 A- - KK172A: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 4,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2560 A- แนวโน้มอันดับเครดิต: Positive
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com ติดต่อ santaya@trisrating.com โทร. 0-2231-3011 ต่อ 500 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500 บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2557 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่เพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยมิได้รับอนุญาต การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/ratinginformation/rating_criteria.html