ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท สยามโกลบอลเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “A-” ด้วยแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงประสบการณ์อันยาวนานของบริษัทในธุรกิจค้าปลีกสินค้าเกี่ยวกับบ้านในประเทศไทย ตลอดจนกลยุทธ์ในการขยายสาขาในต่างจังหวัด และความสามารถในการควบคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงโครงสร้างทางการเงินของบริษัทที่แข็งแกร่งขึ้นหลังจากการเพิ่มทุนในช่วงปลายปี 2555 ด้วย อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวลดทอนลงบางส่วนจากวงจรเงินสดที่ค่อนข้างยาวของบริษัท รวมถึงการแข่งขันที่รุนแรงในกลุ่มผู้ค้าปลีกสมัยใหม่ที่จำหน่ายสินค้าเกี่ยวกับบ้าน ทั้งนี้ สภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวในปัจจุบันและการลดลงของรายได้ภาคเกษตรซึ่งส่งผลให้กำลังซื้อของผู้บริโภคในต่างจังหวัดลดลงนับว่าเป็นปัจจัยเสี่ยงต่ออันดับเครดิตของบริษัท ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าบริษัทจะสามารถรักษาสถานะในธุรกิจค้าปลีกสินค้าเกี่ยวกับบ้านได้ต่อไป พร้อมทั้งจะสามารถพัฒนาประสิทธิภาพในการจัดเก็บสินค้าและบริหารจัดการระบบขนส่งสินค้าในขณะที่มีการขยายสาขาโดยจะได้รับการสนับสนุนจากความเชี่ยวชาญของ บริษัท เอสซีจี ดิสทริบิวชั่น จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน)
บริษัทสยามโกลบอลเฮ้าส์เป็นหนึ่งในผู้ประกอบการค้าปลีกชั้นนำของไทยที่จำหน่ายสินค้าเกี่ยวกับบ้านซึ่งมีรูปแบบในแนวคลังสินค้า บริษัทก่อตั้งในปี 2540 โดยนายวิทูร สุริยวนากุล และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในเดือนสิงหาคม 2552 ต่อมาในเดือนพฤศจิกายน 2555 บริษัทเอสซีจี ดิสทริบิวชั่นกลายมาเป็นหุ้นส่วนเชิงกลยุทธ์ของบริษัทโดยการลงทุนประมาณ 9,000 ล้านบาทในการซื้อหุ้นของบริษัทในสัดส่วนรวม 31.02% ทั้งนี้ ณ เดือนมีนาคม 2557 ผู้ถือหุ้นหลักของบริษัทประกอบด้วยตระกูลสุริยวนากุล (37.36%) และ บริษัท เอสซีจี ดิสทริบิวชั่น (31.25%)
สาขาแห่งแรกของบริษัทอยู่ในจังหวัดร้อยเอ็ดซึ่งเป็นภูมิลำเนาของผู้ก่อตั้ง ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2557 บริษัทมีสาขารวมทั้งสิ้น 28 แห่ง และมีพื้นที่ขายรวม 693,509 ตารางเมตร (ตร.ม.) บริษัทจำหน่ายสินค้าเกี่ยวกับวัสดุก่อสร้างที่หลากหลาย รวมถึงอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ และสินค้าตกแต่งบ้านรวมแล้วประมาณ 100,000 รายการ โดยมีการจัดแต่งรูปแบบร้านในแนวคลังสินค้าขนาดใหญ่และมีพื้นที่ขายเฉลี่ยต่อสาขาอยู่ที่ 22,000 ตร.ม.
ในปี 2556 ยอดขายรวมของบริษัทเท่ากับ 14,302 ล้านบาท เติบโต 33% เมื่อเทียบกับปี 2555 โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากการเติบโตของยอดขายจากสาขาใหม่ที่เปิดดำเนินการในปี 2555-2556 ในขณะที่ยอดขายจากสาขาเดิมเติบโตในอัตราลดลงที่ระดับ 1.5% ในปี 2556 ซึ่งเกิดจากกำลังซื้อของผู้บริโภคในเขตต่างจังหวัดที่ปรับตัวลดลงอันเนื่องมาจากรายได้จากผลผลิตการเกษตรที่ลดลงและภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว นอกจากนี้ การแข่งขันที่รุนแรงในบางจังหวัดยังส่งผลทำให้ยอดขายของสาขาเดิมลดลงด้วย กล่าวคือ ยอดขายของสาขาเดิมเพิ่มขึ้น 8.5% ในช่วงไตรมาสที่ 1 ของปี 2556 แต่กลับลดลง 5.9% ในช่วงไตรมาสที่ 4 ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับการบริโภคภาคเอกชนของไทยที่ลดลงจากที่เคยเติบโต 4.4% ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2556 แต่กลับปรับตัวลดลง 4.5% ในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปีเดียวกัน อย่างไรก็ตาม แม้ว่ายอดขายจากสาขาเดิมของบริษัทจะลดลง แต่ยอดขายรวมของบริษัทในช่วงไตรมาสที่ 4 ยังคงเติบโต19% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ เนื่องมาจากยอดขายจากสาขาใหม่ อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทอยู่ในระดับดีที่ 11.3% ลดลงเล็กน้อยจาก 11.6% ในปี 2555 ซึ่งสะท้อนถึงการควบคุมค่าใช้จ่ายที่มีประสิทธิภาพ รวมทั้งการได้ประโยชน์จากการประหยัดจากขนาด มูลค่าสินค้าคงคลังของบริษัทยังคงอยู่ในระดับสูงในปี 2556 เนื่องจากความล่าช้าในการสร้างศูนย์กระจายสินค้า โดยระดับสินค้าคงคลังที่สูงนี้ส่งผลทำให้วงจรเงินสดของบริษัทมีระยะเวลานานขึ้นและยังทำให้บริษัทมีความต้องการเงินทุนหมุนเวียนเพิ่มขึ้นด้วย
สถานะทางการเงินโดยรวมของบริษัทยังคงอยู่ในระดับที่น่าพอใจในปี 2556 โดยกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายเพิ่มขึ้นจาก 1,248 ล้านบาทในปี 2555 เป็น 1,619 ล้านบาทในปี 2556 แม้ว่าบริษัทจะมีระดับหนี้สินที่เพิ่มขึ้นจากการขยายสาขาและความต้องการเงินทุนหมุนเวียนเพิ่มขึ้น อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายของบริษัทยังคงแข็งแกร่งที่ระดับ 16.3 เท่าในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2556 อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมยังคงอยู่ระดับดีที่ 37.9% ในปี 2556
บริษัทมีแผนจะเปิดสาขาจำนวน 10-12 แห่งต่อปีในช่วง 3 ปีข้างหน้า ขณะนี้บริษัทกำลังพัฒนาศูนย์กระจายสินค้าในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน การขยายสาขาอย่างรวดเร็วจะทำให้ระดับหนี้สินของบริษัทสูงขึ้น แต่คาดว่าอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนยังคงอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 50% ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com ติดต่อ santaya@trisrating.com โทร. 0-2231-3011 ต่อ 500 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500 บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2557 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่เพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยมิได้รับอนุญาต การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/ratinginformation/rating_criteria.html