ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ถือหุ้น 99.99% โดย บริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “A” และคงอันดับเครดิตหุ้นกู้ด้อยสิทธิไม่มีประกันของธนาคารที่ระดับ “A-” ในขณะเดียวกัน ตามหลักเกณฑ์การจัดอันดับเครดิตของทริสเรทติ้งที่มีการปรับปรุงใหม่ ทริสเรทติ้งปรับลดอันดับเครดิตตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุนที่นับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 2 ตามเกณฑ์ Basel III ชุดปัจจุบัน (TISCO223A) ของธนาคารจำนวน 1 ขั้น จาก “A-” เป็น “BBB+” โดยตราสารดังกล่าวจะได้รับอันดับเครดิตในระดับที่ต่ำกว่าอันดับเครดิตองค์กรจำนวน 2 ขั้น ซึ่งสะท้อนถึงความเสี่ยงจากการด้อยสิทธิและความเสี่ยงจากการไม่จ่ายชำระคืนหนี้ภายใต้เงื่อนไขของตราสารในการรองรับผลขาดทุนเมื่อธนาคารมีผลการดำเนินงานที่ไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้
อันดับเครดิตของธนาคารสะท้อนถึงความสามารถของคณะผู้บริหาร รวมทั้งความสามารถในการดำรงสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งในธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์ และความสามารถในการรักษาระดับกำไรได้อย่างต่อเนื่อง อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงระบบการบริหารความเสี่ยงที่ดีและการมีสินเชื่อคุณภาพดีแม้จะเริ่มเสื่อมถอยลงไปบ้าง อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตถูกจำกัดโดยส่วนแบ่งทางการตลาดของสินเชื่อและเงินรับฝากที่มีขนาดเล็ก ตลอดจนเครือข่ายที่มีอยู่อย่างจำกัด รวมทั้งการมีต้นทุนทางการเงินและสัดส่วนของหนี้สินที่สูง นอกจากนี้ ธนาคารยังเผชิญกับความไม่แน่นอนจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจไทยและสถานการณ์ทางการเมืองที่ยังไม่มีเสถียรภาพด้วย โดยปัจจัยเหล่านี้อาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว รวมทั้งคุณภาพของสินทรัพย์ ความสามารถในการทำกำไร และเสถียรภาพของเงินกองทุนของธนาคารด้วยเช่นกัน
อันดับเครดิต “BBB+” ของตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุนที่นับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 2 ของธนาคาร (TISCO223A) สะท้อนถึงความเสี่ยงในการด้อยสิทธิและความเสี่ยงในการไม่ชำระหนี้ภายใต้เงื่อนไขการรองรับผลขาดทุนเมื่อธนาคารมีผลการดำเนินงานที่ไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ ตราสารดังกล่าวถูกนับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 2 โดยมีคุณสมบัติตามเกณฑ์ที่ ธปท. กำหนด และสอดคล้องกับหลักเกณฑ์ Basel III ตราสารดังกล่าวมีลักษณะด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน ไม่แปลงสภาพ และไม่สามารถเลื่อนชำระดอกเบี้ยได้ ธนาคารสามารถไถ่ถอนตราสารคืนทั้งจำนวนก่อนวันครบกำหนดภายหลังระยะเวลา 5 ปีนับจากวันที่ออกตราสารและได้รับความเห็นชอบจาก ธปท. ผู้ถือตราสารประเภทนี้มีสิทธิด้อยกว่าผู้ฝากเงินและผู้ถือหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน ทั้งนี้ ตราสารดังกล่าวสามารถถูกตัดเป็นหนี้สูญได้ในกรณีที่หน่วยงานกำกับดูแลเห็นว่าธนาคารมีผลการดำเนินงานที่ไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ ซึ่งเป็นไปตามเงื่อนไขที่ระบุไว้
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนการคาดการณ์ว่าธนาคารจะสามารถดำรงสถานะทางการแข่งขันที่แข็งแกร่งในธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์เอาไว้ได้ ตลอดจนรักษาคุณภาพของสินเชื่อและมีผลประกอบการที่ดี ทั้งนี้ ความท้าทายในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับฐานเงินทุน รวมทั้งการรักษาเสถียรภาพของแหล่งเงินทุนไว้ด้วยต้นทุนที่เหมาะสมจะส่งผลต่ออันดับเครดิตและแนวโน้มอันดับเครดิตของธนาคารด้วยเช่นกัน
กลุ่มทิสโก้มีสินทรัพย์รวมใหญ่เป็นอันดับ 9 จากธนาคารพาณิชย์ไทย 15 แห่งในปี 2556 โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดของสินเชื่อ 2.9% และเงินรับฝาก 2.6% ธนาคารขยายสินเชื่ออย่างต่อเนื่องโดยมีการเติบโตเฉลี่ย 23% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ณ เดือนธันวาคม 2556 ธนาคารมีสินเชื่อและดอกเบี้ยค้างรับรวมทั้งสิ้น 281.3 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 18% จากปีก่อน และด้วยประสบการณ์ของคณะผู้บริหารทำให้ธนาคารสามารถเติบโตได้ดีในตลาดกลุ่มเป้าหมาย อีกทั้งยังสามารถรักษาสถานะในการแข่งขันในธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์ซึ่งเป็นธุรกิจหลักที่สำคัญเอาไว้ได้ด้วย ธนาคารเป็นผู้ให้สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์รายใหญ่อันดับ 4 จาก 16 แห่งในฐานข้อมูลของทริสเรทติ้ง โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดประมาณ 12% ณ สิ้นปี 2556 ธนาคารมีสินเชื่อเช่าซื้อทั้งสิ้น 178.4 พันล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโต 15% นอกจากนี้ ธนาคารยังขยายสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่และสินเชื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมซึ่งเติบโตได้อย่างมาก โดยเฉพาะสินเชื่อธุรกิจในภาคการผลิตและการค้า รวมทั้งภาคสาธารณูปโภคและบริการ อย่างไรก็ตาม แม้กลุ่มธุรกิจสินเชื่อจะมีการกระจายตัวมากขึ้น แต่ธนาคารยังมีความเสี่ยงจากการกระจุกตัวของลูกหนี้รายใหญ่อยู่ นอกจากนี้ ธนาคารยังขยายสินเชื่อที่มีความเสี่ยงสูงขึ้นบนหลักการของผลตอบแทนที่ปรับด้วยค่าความเสี่ยงเพื่อสามารถรักษาระดับกำไรให้มีเสถียรภาพ ทั้งนี้ ระดับเงินกองทุนส่วนเพิ่มของธนาคารอาจลดลงหากสินเชื่อเหล่านั้นกลายเป็นสินเชื่อด้อยคุณภาพ
ธนาคารมีระบบบริหารความเสี่ยงที่ดีซึ่งช่วยควบคุมคุณภาพสินทรัพย์ได้ อย่างไรก็ตาม คุณภาพสินเชื่อของธนาคารเสื่อมถอยลงจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ปริมาณสินเชื่อด้อยคุณภาพเพิ่มขึ้น 25% จาก 2.2 พันล้านบาทในปี 2554 เป็น 2.8 พันล้านบาทในปี 2555 และเพิ่มขึ้นอีก 53% เป็น 4.3 พันล้านบาทในปี 2556 ทั้งนี้ อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อสินเชื่อรวมเพิ่มขึ้นจาก 1.16% ในปี 2555 เป็น 1.51% ในปี 2556 แม้ว่าอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพของธนาคารจะเพิ่มขึ้น แต่ยังคงเป็นระดับที่ต่ำที่สุดในระบบธนาคารพาณิชย์ อีกทั้งธนาคารยังได้ตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญไว้อย่างเพียงพอ โดยมีปริมาณสำรองคิดเป็น 136% ของสินเชื่อด้อยคุณภาพในปี 2556
รายได้ดอกเบี้ยสุทธิและรายได้ค่าธรรมเนียมของธนาคารยังคงเพิ่มขึ้นในปี 2556 ในขณะที่ยังสามารถควบคุมต้นทุนในการดำเนินงานได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม ต้นทุนเงินทุนยังคงสูงเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม นอกจากนี้ ธนาคารได้ตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญมากขึ้นตามการเพิ่มขึ้นของสินเชื่อด้อยคุณภาพ โดยมีต้นทุนด้านเครดิตทั้งสิ้น 3.6 พันล้านบาทในปี 2556 เพิ่มขึ้น 133% จากปีก่อน ส่งผลให้กำไรสุทธิสำหรับปี 2556 มีจำนวน 2.9 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นเพียง 4% อัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยเท่ากับ 0.93% ในปี 2556 ลดลงจาก 1.13% ในปี 2555 และ 1.41% ในปี 2554
ทางด้านแหล่งเงินทุนและสภาพคล่องนั้น ธนาคารใช้เงินทุนจากกลุ่มลูกค้ารายใหญ่ซึ่งอาจเกิดความผันผวนได้ง่ายกว่าเงินทุนจากกลุ่มลูกค้ารายย่อย โดยในปี 2556 ธนาคารใช้เงินทุนจากกลุ่มผู้ฝากเงินและเจ้าหนี้รายใหญ่ (เงินฝากหรือตั๋วแลกเงินที่มีมูลค่ามากกว่า 10 ล้านบาท) คิดเป็นสัดส่วนถึง 81% ของฐานเงินฝากรวมตั๋วแลกเงินทั้งสิ้น ทั้งนี้ สภาพคล่องของธนาคารอาจอ่อนแอลงได้หากกลุ่มลูกค้ารายใหญ่ดังกล่าวทำการเบิกถอนเงินในคราวเดียวกัน
ธนาคารมีสัดส่วนของหนี้สินที่สูง แม้ว่าจะมีการเพิ่มทุนจำนวน 1.9 พันล้านบาทในปี 2556 แต่อัตราส่วนของส่วนของผู้ถือหุ้นต่อสินทรัพย์รวมยังคงอยู่ที่ 5.7% ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดในอุตสาหกรรม ธนาคารคำนวณเงินกองทุนเพื่อรองรับความเสี่ยงด้านเครดิตโดยวิธี Internal Rating Based Approach (IRB) ตามเกณฑ์ Basel III ซึ่งช่วยให้การบริหารความเสี่ยงและเงินกองทุนมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ธนาคารยังคงมีเงินกองทุนที่เพียงพอต่อการขยายสินเชื่อในช่วง 3 ปีข้างหน้า โดย ณ เดือนธันวาคม 2556 ธนาคารมีอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 และเงินกองทุนรวมต่อสินทรัพย์เสี่ยงเท่ากับ 9.15% และ 13.37% ตามลำดับ ซึ่งยังคงสูงกว่าอัตราส่วนขั้นต่ำ 6.00% และ 8.50% ที่กำหนดโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
TISCO205A: หุ้นกู้ด้อยสิทธิไม่มีประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2563 A- TISCO20DA: หุ้นกู้ด้อยสิทธิไม่มีประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2563 A- TISCO22DA: หุ้นกู้ด้อยสิทธิไม่มีประกัน 1,243 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2565 A- TISCO223A: ตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุนที่นับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 2 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2565 BBB+ แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com ติดต่อ santaya@trisrating.com โทร. 0-2231-3011 ต่อ 500 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500 บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2557 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่เพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยมิได้รับอนุญาต การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/ratinginformation/rating_criteria.html