อันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ของบริษัทอินโดรามา เวนเจอร์ส สะท้อนถึงสถานะที่แข็งแกร่งของบริษัทในการเป็นผู้ผลิตในธุรกิจห่วงโซ่โพลีเอสเตอร์ชั้นนำระดับโลก ตลอดจนความได้เปรียบด้านต้นทุนการผลิตและการผลิตที่มีประสิทธิภาพจากการมีระบบการผลิตที่ครบวงจร (Vertical Integration) รวมถึงการมีฐานลูกค้าที่กระจายตัวทั่วโลก ในการพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงความสามารถและประสบการณ์ของคณะผู้บริหารรวมทั้งการเข้าถึงเทคโนโลยีสำคัญของอุตสาหกรรมด้วย อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตดังกล่าวมีข้อจำกัดจากลักษณะที่ผันผวนของอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ตลอดจนอุปทานส่วนเกินจากกำลังการผลิตใหม่ของกรดเทอเรฟธาลลิกบริสุทธิ์ (Purified Terephthalic Acid – PTA) และความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจโลก ในขณะที่การลงทุนขนาดใหญ่เพื่อบรรลุเป้าหมายการเติบโตของบริษัทได้ก่อให้เกิดภาระหนี้ในระดับสูงและลดทอนฐานะการเงินของบริษัท แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงความคาดหวังว่าอัตรากำไรของอุตสาหกรรมจะค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้นจากระดับปัจจุบัน และบริษัทจะยังคงรักษาความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอ รวมถึงรักษาสภาพคล่องที่เพียงพอเพื่อรองรับความผันผวนที่เกิดจากอุตสาหกรรมปิโตรเคมีทั้งนี้ หากภาวะขาลงของอุตสาหกรรมยังคงดำเนินต่อไปก็อาจเป็นปัจจัยด้านลบต่ออันดับเครดิตของบริษัท
บริษัทก่อตั้งเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2546 โดยกลุ่มตระกูลโลเฮีย (Lohia) ในฐานะเป็นบริษัทเพื่อการลงทุน บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2553 และปัจจุบันกลุ่มตระกูลโลเฮียมีสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัท 66.4% บริษัทลงทุนในกิจการที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจห่วงโซ่โพลีเอสเตอร์เป็นหลัก โดย ณ 30 มิถุนายน 2557 บริษัทมีกำลังการผลิตติดตั้งรวมทั้งสิ้น 7.38 ล้านตันต่อปี โดยประมาณ 50% เป็นกำลังการผลิตของโพลีเอธิลีน เทอเรฟธาลเลท (Polyethylene Terephthalate – PET) 24% เป็น PTA 19% เป็นกำลังการผลิตเทียบเท่าเส้นใยโพลีเอสเตอร์ และอีก 7% เป็นกำลังการผลิตเทียบเท่าโมโนเอธิลลีนไกลคอล (Monoethylene Glycol – MEG) ในธุรกิจห่วงโซ่โพลีเอสเตอร์นั้น PTA และ MEG ใช้เป็นวัตถุดิบสำคัญในกระบวนการผลิต PET และเส้นใยโพลีเอสเตอร์ ปัจจุบันบริษัทอินโดรามา เวนเจอร์สมีฐานการผลิตกระจายอยู่ใน 16 ประเทศ ครอบคลุม 4 ทวีป (เอเซีย ยุโรป อเมริกาเหนือ และอาฟริกา) รูปแบบธุรกิจของบริษัทที่มีการผลิตครบวงจร ตลอดจนการมีฐานการผลิตที่กระจายตัวอยู่ทั่วโลกน่าจะช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันและบรรเทาความเสี่ยงของภาวะอุตสาหกรรมปิโตรเคมีได้ อย่างไรก็ตาม กำลังการผลิตใหม่จากประเทศจีนและความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจโลกนั้นสร้างความกังวลต่อภาวะการแข่งขันที่รุนแรงซึ่งส่งผลกดดันต่ออัตรากำไรของบริษัท สถานะทางการเงินของบริษัทยังคงได้รับแรงกดดันจากภาวะขาลงของอุตสาหกรรมห่วงโซ่โพลีเอสเตอร์ แต่แนวโน้มคาดว่าจะดีขึ้นในระยะปานกลางเนื่องจากโรงงานที่มีต้นทุนสูงจะปิดตัวลงซึ่งจะช่วยให้อุปสงค์และอุปทานกลับสู่ภาวะสมดุลอีกครั้ง ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2557 บริษัทมีรายได้ 125,676 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลมาจากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้น อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้เพิ่มขึ้นจาก 5.0% ในปี 2556 เป็น 6.2% ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2557 โดยส่วนหนึ่งสะท้อนอัตรากำไรของ PTA ที่ทยอยปรับตัวดีขึ้น และการกลับมาผลิตของโรงงานผลิต MEG หลังจากหยุดซ่อมบำรุงในระหว่างปี 2556 ในส่วนของกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ต่อตันของการผลิตเพิ่มขึ้นจาก 79 ดอลลาร์สหรัฐต่อตันในปี 2556 เป็น 89 ดอลลาร์สหรัฐต่อตันในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2557 โดยบริษัทมีเงินทุนจากการดำเนินงาน 6,852 ล้านบาทในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2557 ในขณะที่อัตราส่วน EBITDA ต่อดอกเบี้ยจ่ายอยู่ที่ 4.5 เท่า ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2557 บริษัทมีเงินกู้รวมจำนวน 82,280 ล้านบาท ลดลงจาก 85,266 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2556 ในขณะที่อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนดีขึ้นจาก 58.1% ณ สิ้นปี 2556 เป็น 56.6% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2557 อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงขยายกำลังการผลิตสำหรับโครงการเดิมตามแผนซึ่งรวมถึงการเพิ่มกำลังการผลิต PTA ที่เมืองรอทเทอร์ดัม (Rotterdam) ประเทศเนเธอร์แลนด์ และการปรับปรุงระบบการผลิตโดยมุ่งเน้นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูง (High Value Added, HVA) โดยบริษัทวางงบประมาณสำหรับการลงทุนเหล่านี้ประมาณ 16,600 ล้านบาทในช่วงปี 2557-2560 ซึ่งจะทำให้บริษัทมีกำลังการผลิตรวมเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 8 ล้านตัน ณ สิ้นปี 2559 อย่างไรก็ตาม ประมาณการของทริสเรทติ้งได้เพิ่มงบประมาณสำหรับการซื้อกิจการของบริษัทอีกประมาณ 58,400 ล้านบาทในช่วงปี 2557-2560 ไว้ด้วย โดยงบประมาณนี้ได้รวมการซื้อกิจการ PHP Fibers GmbH (PHP) ในเดือนกุมภาพันธ์ 2557 และ Artenius TurkPET ในเดือนมิถุนายน 2557 ซึ่งทั้ง 2 รายการนี้มีมูลค่าลงทุนรวม 4,063 ล้านบาท ในอนาคตคาดว่าบริษัทจะมีภาระเงินกู้เพิ่มมากขึ้นจากการซื้อกิจการ สำหรับการออกหุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุน และการออกใบสำคัญแสดงสิทธิซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุน (Warrants) ของบริษัทจำนวน 2 ชุดนั้น หากมีการใช้สิทธิ ก็จะช่วยให้โครงสร้างเงินทุนของบริษัทอยู่ในระดับที่ยอมรับได้ อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีแผนจัดการภาระหนี้เพื่อรักษาอัตราส่วนเงินกู้สุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นในระดับที่ต่ำกว่า 1.0 เท่าให้เป็นไปตามนโยบายของบริษัท ส่วนสภาพคล่องนั้นคาดว่าบริษัทจะมีเงินทุนจากการดำเนินงานมากกว่า 13,000 ล้านบาทในปี 2558 หลังจากที่กำลังการผลิตส่วนขยายใหม่ ๆ เริ่มดำเนินงาน ซึ่งเงินทุนจากการดำเนินงานในระดับดังกล่าวยังคงเพียงพอสำหรับการชำระหนี้ โดยบริษัทมีภาระหนี้ครบกำหนดในปี 2558 จำนวน 5,800 ล้านบาท ในปี 2559 จำนวน 11,800 ล้านบาท และในปี 2560 อีก 13,000 ล้านบาท โดยที่บริษัทมีวงเงินกู้ที่ยังไม่ได้เบิกใช้อีกประมาณ 20,000 ล้านบาทเพื่อเสริมสภาพคล่องและเป็นเงินทุนหมุนเวียนของบริษัท
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com ติดต่อ santaya@trisrating.com โทร. 0-2231-3011 ต่อ 500 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500 บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2557 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่เพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยมิได้รับอนุญาต การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/ratinginformation/rating_criteria.html