ผลประกอบการของธนาคารดีขึ้นอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา กำไรก่อนค่าใช้จ่ายตั้งสำรองและภาษีเติบโตขึ้นเป็น 14.7 พันล้านบาทในปี 2556 เทียบกับ 4.9 พันล้านบาทในปี 2553 การชะลอตัวของเศรษฐกิจในช่วงครึ่งแรกของปี 2557 ส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของธนาคารอยู่บ้าง กล่าวคือ กำไรก่อนค่าใช่จ่ายการตั้งสำรองและภาษีในครึ่งแรกของปี 2557 ลดลงเหลือ 6.6 พันล้านบาท เทียบกับ 7.2 พันล้านบาทในช่วงเดียวกันของปี 2556 ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งมองว่าการลดลงดังกล่าวเป็นการชะลอตัวชั่วคราวซึ่งน่าจะฟื้นตัวขึ้นได้ตามสภาวะเศรษฐกิจที่คาดว่าจะดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2557
แม้ว่าความสามารถในการทำกำไรของธนาคารจะดีขึ้นอย่างมากในระยะหลังนี้ แต่อัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยยังคงอยู่ในระดับต่ำที่ 0.18% ในปี 2555 และ 0.78% ในปี 2556 เทียบกับค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่ 1.39% ในปี 2555 และ 1.54% ในปี 2556 ทั้งนี้ ในปี 2555 และ 2556 ธนาคารมีการตั้งสำรองเพิ่มขึ้นเป็นกรณีพิเศษซึ่งมีผลทำให้กำไรสุทธิลดลง แต่แม้ภายหลังการปรับผลกระทบดังกล่าวแล้ว ธนาคารก็จะยังคงมีอัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมอยู่เช่นเดิม สำหรับครึ่งแรกของปี 2557 ธนาคารมีอัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยและอัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นถัวเฉลี่ยที่ยังไม่ได้ปรับอัตราส่วนให้เป็นตัวเลขเต็มปีอยู่ที่ 0.53% และ 0.63% ตามลำดับ ซึ่งยังคงต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมแม้ว่าในช่วงดังกล่าวธนาคารมีการรับรู้ผลกำไรพิเศษจำนวน 862 ล้านบาท (เทียบกับยอดกำไรก่อนภาษี 5.1 พันล้านบาท) ที่เกิดจากรายการที่เกี่ยวข้องกับการขายสินเชื่อด้อยคุณภาพที่มีมาแต่เดิมและการปรับโครงสร้างหนี้ของลูกค้ารายใหญ่รายหนึ่งก็ตาม
ในส่วนของแหล่งเงินทุนและสภาพคล่องนั้น ธนาคารประสบความสำเร็จในการปรับโครงสร้างแหล่งเงินทุนให้มีการกระจายตัวและมีเสถียรภาพดียิ่งขึ้นโดยมีฐานเงินฝากที่เพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ณ เดือนมิถุนายน 2557 ธนาคารมีอัตราส่วนสินเชื่อต่อเงินรับฝากรวมตั๋วแลกเงินอยู่ที่ 89% เทียบกับค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่ระดับเกือบ 100% ทั้งนี้ อัตราส่วนดังกล่าวลดลงจาก 94% ณ เดือนธันวาคม 2556 เนื่องจากในช่วงครึ่งแรกของปี 2557 ธนาคารปล่อยสินเชื่อด้วยความระมัดระวังมากขึ้น ในขณะที่ฐานเงินฝากของธนาคารยังคงเติบโตตามแผน ซึ่งเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวธนาคารจะสามารถใช้ฐานเงินฝากดังกล่าวในการขยายสินเชื่อได้ต่อไป
ธนาคารมีฐานเงินทุนที่เพียงพอสำหรับการขยายธุรกิจในระยะ 2-3 ปีข้างหน้า โดย ณ เดือนมิถุนายน 2557 ธนาคารมีอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของต่อสินทรัพย์เสี่ยงเท่ากับ 10.7% มีอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ต่อสินทรัพย์เสี่ยง 10.7% และมีอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงเท่ากับ 15.4% ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ระดับ 4.5% 6.0% และ 8.5% ตามลำดับ อยู่พอสมควร
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com ติดต่อ santaya@trisrating.com โทร. 0-2231-3011 ต่อ 500 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500 บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2557 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่เพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยมิได้รับอนุญาต การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/ratinginformation/rating_criteria.html