บริษัทกรุ๊ปลีสก่อตั้งในปี 2529 โดยตระกูลเหลืองรังษีเพื่อประกอบธุรกิจให้สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ ในปี 2533 นายขรรค์ชัย บุนปาน และนายอนุศักดิ์ อินทรภูวศักดิ์ ได้ซื้อกิจการของบริษัทจากผู้ถือหุ้นเดิมและได้หันไปเน้นการให้เช่าซื้อรถจักรยานยนต์ ในปี 2548 สถานะทางการตลาดของบริษัทปรับตัวดีขึ้นหลังจากจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2547 บริษัทมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นในปี 2550 โดย Asia Partnership Fund (APF) ซึ่งเป็นกองทุนจากประเทศญี่ปุ่นได้ซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นใหญ่พร้อมทั้งซื้อหุ้นผ่านการทำคำเสนอซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นรายย่อยที่เหลือ ส่งผลให้ APF เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ โดย ณ วันที่ 14 พฤษภาคม 2557 APF ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในสัดส่วน 65.1%
หลังจากการเปลี่ยนแปลงคณะผู้บริหารในปี 2554 คณะผู้บริหารชุดใหม่ได้พยายามขยายเครือข่ายตัวแทนจำหน่ายและรักษาความสัมพันธ์กับตัวแทนจำหน่ายเดิมที่มีอยู่ ความพยายามดังกล่าวส่งผลให้สถานะทางการตลาดของบริษัทปรับตัวดีขึ้น โดยสินเชื่อคงค้างของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 3,306 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2555 หรือเพิ่มขึ้น 49.8% จากปี 2554 และเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็น 4,922 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2556 เมื่อพิจารณาจากสินเชื่อคงค้างแล้ว บริษัทมีสินเชื่อคงค้างขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 จากจำนวนผู้ให้บริการสินเชื่อรถจักรยานยนต์ 10 รายใหญ่ในฐานข้อมูลของทริสเรทติ้ง ในเดือนกันยายน 2557 บริษัทได้ซื้อหุ้นทั้งหมดของ บริษัท ธนบรรณ จำกัด จากธนาคารไทยเครดิตเพื่อรายย่อย จำกัด (มหาชน) โดยบริษัทธนบรรณเป็นผู้ประกอบการขนาดกลางซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในอุตสาหกรรมสินเชื่อรถจักรยานยนต์ สินเชื่อคงค้างของบริษัทธนบรรณอยู่ที่ระดับประมาณ 1,500 ล้านบาทในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา การครอบงำกิจการของบริษัทธนบรรณได้ช่วยส่งเสริมสถานะทางการตลาดของบริษัทในด้านสินเชื่อคงค้างให้ดีขึ้น นอกจากนี้ บริษัทยังจะได้ประโยชน์จากเครือข่ายตัวแทนจำหน่ายของบริษัทธนบรรณด้วย หลังจากการซื้อกิจการของบริษัทธนบรรณแล้ว สินเชื่อคงค้างของบริษัทก็เพิ่มขึ้นเป็น 6,697 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนกันยายน 2557 จาก 5,291 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2557
ในปี 2555 บริษัทได้ขยายธุรกิจไปยังประเทศกัมพูชาผ่านบริษัทลูกที่บริษัทถือหุ้นทั้งหมด คือ GL Finance PLC (GLF) บริษัทได้ร่วมมือกับ Honda NCX ซึ่งเป็นผู้ผลิตและตัวแทนจำหน่ายรถจักรยานยนต์ฮอนด้าแต่เพียงผู้เดียวในประเทศกัมพูชา ณ สิ้นเดือนกันยายน 2557 สินเชื่อคงค้างของ GLF คิดเป็น 6% ของสินเชื่อคงค้างรวมของบริษัท เพิ่มขึ้นจาก 3% ณ สิ้นปี 2556 บริษัทยังคงต้องใช้เวลาในการพิสูจน์ความสำเร็จในการขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศว่าจะช่วยยกระดับผลประกอบการโดยรวมของบริษัทได้หรือไม่เพียงใด
สินเชื่อของบริษัทถดถอยลงค่อนข้างมากในปี 2554 เนื่องจากผลกระทบจากอุทกภัยครั้งใหญ่ โดยอัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (สินเชื่อค้างชำระมากกว่า 3 เดือน) ต่อสินเชื่อรวมเพิ่มขึ้นจาก 7.8% ในปี 2553 เป็น 12.4% ในปี 2554 อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ปรับลดลงเป็น 5.5% ในปี 2555 หลังจากความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ปรับตัวดีขึ้น คุณภาพสินเชื่อของบริษัทได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัวในช่วงที่ผ่านมาเช่นเดียวกับผู้ประกอบการรายอื่น อัตราส่วนดังกล่าวปรับเพิ่มขึ้นเป็น 9.6% ณ สิ้นปี 2556 และ 10.3% ณ สิ้นเดือนกันยายน 2557
ผลประกอบการทางการเงินของบริษัทปรับเพิ่มขึ้นอย่างมากในปี 2555 โดยกำไรสุทธิปรับเพิ่มขึ้นเป็น 357 ล้านบาทในปี 2555 จาก 215 ล้านบาทในปี 2554 บริษัทมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายการตั้งสำรองในปี 2555 โดยการเปลี่ยนแปลงอัตราการตั้งสำรองในแต่ละชั้นลูกหนี้ นอกจากนี้ คุณภาพสินเชื่อโดยรวมในปี 2555 ก็ปรับตัวดีขึ้น ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองลดลงค่อนข้างมาก โดยอัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองต่อสินเชื่อรวมเฉลี่ยปรับลดลงจาก 8.5% ในปี 2554 เป็นเพียง 1.6% ในปี 2555 อัตราส่วนสำรองสำหรับหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อรวมก็ปรับลดลงเป็น 5.3% ในปี 2555 จาก 13.2% ในปี 2554 ผลประกอบการของบริษัทในปี 2556 และ 2557 ได้รับผลกระทบจากการด้อยลงของคุณภาพสินเชื่อและการขาดทุนจากการขายรถจักรยานยนต์ยึดคืนที่สูงขึ้น อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองต่อสินเชื่อรวมถัวเฉลี่ยปรับเพิ่มขึ้นเป็น 8.4% ในปี 2556 และ 9.1% สำหรับช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 2557 (ปรับอัตราส่วนให้เป็นตัวเลขเต็มปีแล้ว) อัตราส่วนขาดทุนจากการขายรถจักรยานยนต์ยึดคืนต่อสินเชื่อรวมถัวเฉลี่ยก็ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 7.6% ในปี 2556 และ 7.1% สำหรับช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 2557 (ปรับอัตราส่วนให้เป็นตัวเลขเต็มปีแล้ว) จาก 5.1% ในปี 2555 การเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองและขาดทุนจากการรถจักรยานยนต์ยึดคืนทำให้กำไรสุทธิอยู่ที่ระดับ 240 ล้านบาทในปี 2556 หรือลดลง 33% จากปี 2555 อัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยปรับลดลงเป็น 5.4% ในปี 2556 จาก 12.3% ในปี 2555 กำไรสุทธิลดลงเหลือเพียง 22 ล้านบาทสำหรับ 3 ไตรมาสแรกของปี 2557 ในขณะที่อัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยลดลงเหลือเพียง 0.45% (ปรับอัตราส่วนให้เป็นตัวเลขเต็มปีแล้ว) ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะเข้มงวดในนโยบายการอนุมัติสินเชื่อและการจัดเก็บหนี้ให้มากขึ้น ทริสเรทติ้งยังคาดหวังด้วยว่าบริษัทจะสามารถควบคุมและปรับปรุงคุณภาพสินเชื่อของบริษัทให้ดีขึ้นในปี 2558 ความยืดหยุ่นทางการเงินของบริษัทปรับตัวดีขึ้นหลังจากมีการเปลี่ยนโครงสร้างผู้ถือหุ้นในปี 2550 บริษัทสามารถขยายฐานสินเชื่อด้วยการกู้ยืมเงินจากการสนับสนุนโดยความน่าเชื่อถือของผู้ถือหุ้นใหญ่ แม้ว่าเงินกู้ยืมรวมของบริษัทจะปรับเพิ่มขึ้นจาก 954 ล้านบาทในปี 2550 เป็น 3,111 ล้านบาทในปี 2556 อัตราส่วนของส่วนของผู้ถือหุ้นต่อสินทรัพย์รวมก็ยังคงแข็งแกร่งจากการปรับโครงสร้างทุนอย่างต่อเนื่องและผลประกอบการทางการเงินที่แข็งแรง อัตราส่วนของส่วนของผู้ถือหุ้นต่อสินทรัพย์รวมลดลงเป็น 41.1% ณ สิ้นปี 2556 จาก 45.6% ในปี 2555 และ 57.9% ในปี 2554 การครอบครองกิจการของบริษัทธนบรรณในกลางปี 2557 ที่ผ่านมาใช้เงินทุนจากการกู้ยืมเป็นส่วนใหญ่ ส่งผลให้อัตราส่วนของส่วนของผู้ถือหุ้นต่อสินทรัพย์รวมลดลงเป็น 33.2% ณ สิ้นเดือนกันยายน 2557 แม้ว่าอัตราส่วนดังกล่าวจะลดลง แต่ก็ยังอยู่ในระดับที่เพียงพอต่อการสนับสนุนธุรกิจสินเชื่อรถจักรยานยนต์ที่มีความเสี่ยงสูงของบริษัท ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะรักษาระดับฐานทุนที่มากกว่าธุรกิจให้สินเชื่อยานพาหนะทั่วไปที่เน้นรถยนต์นั่งและรถกระบะ ฐานทุนที่แข็งแกร่งของบริษัทจะเป็นเครื่องมือช่วยพยุงและดูดซับความเสี่ยงเนื่องจากฐานลูกค้าส่วนใหญ่ของบริษัทมีความเสี่ยงด้านคุณภาพเครดิตที่สูงซึ่งมีความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของภาวะเศรษฐกิจ
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com ติดต่อ santaya@trisrating.com โทร. 0-2231-3011 ต่อ 500 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500 บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2557 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่เพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยมิได้รับอนุญาต การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html