บริษัทเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป เป็นผู้ประกอบการโรงภาพยนตร์รายใหญ่ที่สุดในประเทศไทยด้วยส่วนแบ่งทางการตลาดประมาณ 70% โดยพิจารณาจากรายได้รวมของภาพยนตร์ที่เข้าฉายในสัปดาห์แรก บริษัทก่อตั้งในปี 2538 โดยนายวิชา พูลวรลักษณ์ ซึ่งปัจจุบันถือหุ้นในสัดส่วน 34% บริษัทดำเนินธุรกิจหลัก 5 ประเภท ได้แก่ โรงภาพยนตร์ โบว์ลิ่งและคาราโอเกะ สื่อและโฆษณา การให้เช่าพื้นที่และบริการ รวมถึงธุรกิจสื่อภาพยนตร์ ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2556 รายได้ส่วนใหญ่ของบริษัทมาจากธุรกิจโรงภาพยนตร์และธุรกิจโฆษณา โดยรายได้จากธุรกิจโรงภาพยนตร์คิดเป็น 69% ของรายได้ทั้งหมด ในขณะที่รายได้จากธุรกิจโฆษณาและธุรกิจสื่อภาพยนตร์คิดเป็น 13% และ 9% ตามลำดับ สำหรับธุรกิจอื่น ๆ อีก 2 ประเภทต่างก็มีรายได้คิดเป็นประมาณ 6% ของรายได้ทั้งหมด
ณ สิ้นเดือนกันยายน 2557 บริษัทดำเนินกิจการโรงภาพยนตร์ 74 แห่ง โดยมีจำนวนจอภาพยนตร์ทั้งสิ้น 504 จอ และที่นั่ง 120,873 ที่นั่ง ณ ปัจจุบันบริษัทมีโรงภาพยนตร์ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล 31 แห่ง ในต่างจังหวัด 42 แห่ง และในประเทศกัมพูชา 1 แห่ง ในเดือนมิถุนายน 2557 บริษัทเปิดให้บริการโรงภาพยนตร์ในต่างประเทศแห่งแรกที่กรุงพนมเปญเมืองหลวงประเทศกัมพูชา โดยโรงภาพยนตร์ตั้งอยู่ในห้างสรรพสินค้าญี่ปุ่นชื่อ Aeon Mall ซึ่งประกอบด้วยโรงภาพยนตร์ 7 จอ และโบว์ลิ่ง 14 ราง บริษัทมีสาขาโบว์ลิ่งและคาราโอเกะทั้งหมด 21 แห่ง ซึ่งประกอบด้วยโบว์ลิ่ง 389 ราง ห้องคาราโอเกะ 240 ห้อง และลานสเกตน้ำแข็ง 6 แห่ง นอกจากนี้ บริษัทยังให้บริการโรงภาพยนตร์ขนาดใหญ่ที่ดำเนินการเองจำนวน 5 แห่ง และมีพื้นที่ให้เช่าขนาด 50,489 ตารางเมตร (ตร.ม.) รวมทั้งยังขยายโรงภาพยนตร์ไปตามห้างสรรพสินค้าและร้านค้าปลีกสมัยใหม่โดยใช้ตราสัญลักษณ์หลากหลายเพื่อดึงดูดลูกค้าหลาย ๆ กลุ่มด้วย สถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งของบริษัทได้รับแรงหนุนบางส่วนจากการมีความสัมพันธ์ที่ดีกับตัวแทนผู้จัดจำหน่ายภาพยนตร์และการมีโรงภาพยนตร์จำนวนมากทั่วประเทศ โดยรายได้จากการเข้าชมภาพยนตร์ขึ้นอยู่กับจำนวนภาพยนตร์ที่เข้าฉายรวมถึงคุณภาพและความเป็นที่นิยมของภาพยนตร์ด้วย อนึ่ง การชมภาพยนตร์ในโรงเป็นรูปแบบความบันเทิงที่มีราคาไม่แพงและสามารถเข้าถึงได้ง่าย อย่างไรก็ตาม การชมภาพยนตร์ในโรงก็มีความเสี่ยงจากการทดแทนโดยความบันเทิงในรูปแบบอื่น ๆ เช่น กิจกรรมความบันเทิงภายในบ้าน การใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ และกิจกรรมนันทนาการอื่น ๆ อย่างไรก็ตาม การออกไปชมภาพยนตร์ในโรงยังคงเป็นวิถีชีวิตที่มีเสน่ห์และยังไม่มีกิจกรรมนันทนาการใดที่สามารถทดแทนประสบการณ์จากการชมภาพยนตร์ในโรงได้อย่างสมบูรณ์
ในปี 2556 บริษัทมีรายได้รวม 7,711 ล้านบาท โดยเพิ่มขึ้น 11% จากปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ เนื่องมาจากยอดการจำหน่ายตั๋วชมภาพยนตร์ที่ดีขึ้นอย่างมากทั้งภาพยนตร์ไทยและภาพยนตร์จากฮอลลีวูด เช่น “พี่มากพระโขนง” “Iron Man 3” และ “The Fast and Furious 6” รวมทั้งจากรายได้จากธุรกิจโฆษณาและการขายอาหารว่างและเครื่องดื่มที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง สำหรับช่วง 9 เดือนแรกของปี 2557 บริษัทมีรายได้รวมเพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา คิดเป็น 6,499 ล้านบาท โดยรายได้จากการฉายภาพยนตร์และการขายอาหารว่างและเครื่องดื่มปรับตัวเพิ่มขึ้น 6.6% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาเนื่องจากการเปิดสาขาเพิ่มขึ้นมากกว่า 10 สาขา นอกจากนี้ รายได้จากธุรกิจโฆษณายังเพิ่มขึ้น 6% จากปีที่ผ่านมาด้วย ซึ่งมากกว่าอัตราการใช้งบโฆษณาโดยรวมผ่านสื่อต่าง ๆ ที่ปรับตัวลดลงกว่า 9.3% ในส่วนธุรกิจสื่อภาพยนตร์นั้น รายได้ยังคงเติบโต แต่ทว่ายังมีผลประกอบการขาดทุนอยู่ บริษัทมีอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้จากการขายปรับตัวดีขึ้นจากระดับ 24.8% ในปี 2555 เป็น 27.9% ในปี 2556 และ 30% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2557 บริษัทมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายจากธุรกิจภาพยนตร์และธุรกิจโฆษณาคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 60% และ 40% ของกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายทั้งหมดตามลำดับ ทั้งนี้ เนื่องจากธุรกิจโฆษณามีค่าใช้จ่ายต่ำจึงสามารถสร้างกระแสเงินสดให้แก่บริษัทได้อย่างมีนัยสำคัญ หนี้สินรวมของบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 2,852 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2555 สู่ระดับ 4,820 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2556 และลดลงสู่ระดับ 4,577 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนกันยายน 2557 โดยภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้นมาจากการขยายสาขา การติดตั้งจอระบบดิจิตัลในโรงภาพยนตร์ และการซื้อหุ้นของ บริษัท เอ็ม พิคเจอร์ส เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด (มหาชน) (MPIC) คืนจากประชาชน จึงส่งผลให้อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 56.1% ในปี 2555 สู่ระดับ 63% ในปี 2556 และอยู่ที่ระดับ 61.3% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2557 ทั้งนี้ บริษัทมีแผนจะเพิ่มจำนวนจอภาพยนตร์เป็น 1,000 จอภายในปี 2563 ส่งผลให้บริษัทต้องใช้เงินลงทุนประมาณ 1,000 ล้านบาทในปี 2557 และประมาณ 1,300-1,600 ล้านบาทต่อปีในระหว่างปี 2558-2560 ดังนั้น จึงคาดว่าอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทจะอยู่ที่ระดับประมาณ 60%
สภาพคล่องของบริษัทอยู่ในระดับที่น่าพอใจ โดยเงินทุนจากการดำเนินงานปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 1,368 ล้านบาทในปี 2555 เป็น 1,437 ล้านบาทในปี 2556 และอยู่ที่ 1,588 ล้านบาทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2557 เนื่องจากภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้นจึงส่งผลให้อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมปรับตัวลดลงจาก 21.4% ในปี 2555 เป็น 15.8% ในปี 2556 และปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 21.7% ณ สิ้นเดือนกันยายน 2557 (ปรับเป็นอัตราส่วนเต็มปีด้วยตัวเลข 12 เดือนย้อนหลัง) อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 3.8 เท่าในปี 2555 เป็น 4 เท่าในปี 2556 และ 4.5 เท่าในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2557 ในช่วงอีก 12 เดือนต่อจากนี้ไปบริษัทมีภาระในการชำระหนี้จำนวน 2,335 ล้านบาท โดยเป็นหนี้ตั๋วสัญญาใช้เงินที่ใช้สำหรับเป็นทุนหมุนเวียนในการดำเนินงานจำนวน 2,220 ล้านบาท ณ วันที่ 30 กันยายน 2557 บริษัทมีเงินสดจำนวน 362 ล้านบาทและมีวงเงินสินเชื่อจากสถาบันการเงินหลายแห่งจำนวน 2,215 ล้านบาท ซึ่งเพียงพอต่อภาระหนี้ดังกล่าว ณ เดือนกันยายน 2557 มูลค่าทางการตลาดของเงินลงทุนที่สำคัญของบริษัทมีมูลค่า 4,710 ล้านบาท โดยเป็นการลงทุนใน MPIC ในบริษัท สยามฟิวเจอร์ ดีเวลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (SF) และในกองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ ไลฟ์สไตล์ (MJLF) มูลค่าทางการตลาดที่อยู่ในระดับสูงจากการลงทุนเหล่านี้จะเป็นส่วนเสริมความคล่องตัวทางการเงินให้แก่บริษัทได้เป็นอย่างดี
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com ติดต่อ santaya@trisrating.com โทร. 0-2231-3011 ต่อ 500 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500 บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2558 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่เพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยมิได้รับอนุญาต การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html