ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันในวงเงินไม่เกิน 500 ล้านบาทของ บริษัท ทุนธนชาต จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “A+” ในขณะเดียวกันยังคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของ บริษัทที่ระดับ “A+” ด้วย โดยแนวโน้มยังคง “Stable” หรือ “คงที่” ทั้งนี้ อันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะการเป็นบริษัทโฮลดิ้งเพื่อการลงทุนของกลุ่มธนชาตโดยมีอำนาจการบริหารงานและการได้รับเงินปันผลผ่านการถือหุ้น 50.96% ในธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของกลุ่ม อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงความแข็งแกร่งในธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์และการสนับสนุนที่ได้รับจาก Bank of Nova Scotia (BNS) ซึ่งเป็นพันธมิตรจากประเทศแคนาดาที่ถือหุ้น 49% ในธนาคารธนชาตผ่าน Scotia Netherlands Holdings B.V. ด้วย อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตลดทอนลงจากคุณภาพสินทรัพย์ที่ยังคงอ่อนแอ ตลอดจนปริมาณสำรองเพื่อรองรับความเสียหายจากสินเชื่อซึ่งแม้จะเพิ่มขึ้นแต่ยังมีจำนวนน้อย และภาวะตลาดรถยนต์รวมทั้งเศรษฐกิจไทยที่ชะลอตัวในปัจจุบัน
อันดับเครดิตองค์กรของบริษัททุนธนชาตอยู่ในระดับต่ำกว่าอันดับเครดิตองค์กรของธนาคารธนชาต (AA-) อยู่ 1 ขั้น ซึ่งสะท้อนถึงการด้อยสิทธิเชิงโครงสร้าง โดยสิทธิเรียกร้องของเจ้าหนี้ของบริษัทจะด้อยกว่าสิทธิเรียกร้องของเจ้าหนี้ของธนาคารธนชาต นอกจากนี้ ยังสะท้อนถึงการพึ่งพิงรายได้เงินปันผลจากธนาคารธนชาตเป็นหลัก รวมทั้งการกำกับดูแลจากทางการอันอาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการจ่ายเงินปันผลของธนาคารธนชาตให้แก่บริษัทด้วย
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนการคาดการณ์ว่า ธนาคารธนชาตซึ่งเป็นแหล่งรายได้หลักของบริษัทจะคงสถานะทางการแข่งขันในธุรกิจหลักไว้ได้ และคาดว่าคุณภาพสินเชื่อของธนาคารธนชาตจะไม่เสื่อมถอยลงอย่างมีนัยสำคัญในภาวะเศรษฐกิจไทยที่กำลังชะลอตัว
สถานะเครดิตของบริษัทอาจได้รับผลกระทบในทางลบหากความสามารถในการทำกำไรของธนาคารธนชาตลดลงเนื่องจากการหดตัวของพอร์ตสินเชื่อและต้นทุนด้านเครดิตที่เพิ่มสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม สถานะเครดิตในทางบวกถูกจำกัดในระยะเวลาอันใกล้เนื่องจากคุณภาพสินทรัพย์ที่อ่อนตัว รวมทั้งพอร์ตสินเชื่อรถยนต์ที่หดตัวลงอย่างต่อเนื่อง
บริษัททุนธนชาตมีขนาดสินทรัพย์รวม ณ เดือนกันยายน 2557 ใหญ่เป็นอันดับ 6 จากกลุ่มธนาคารพาณิชย์ไทยทั้งสิ้น 16 แห่ง โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดของสินเชื่อ 7.5% และเงินรับฝาก 6.6% รายได้จากการดำเนินงานสุทธิของบริษัทมาจากธุรกิจธนาคารประมาณ 80% ส่วนที่เหลือเป็นรายได้จากธุรกิจอื่น ๆ ได้แก่ ลีสซิ่ง หลักทรัพย์ บริหารกองทุน และบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ
ธนาคารธนชาตอำนวยสินเชื่อใหม่ด้วยความระมัดระวังยิ่งขึ้นเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและยอดขายรถยนต์ที่ยังคงซบเซา ส่งผลให้สินเชื่อรวมขยายตัวเพียง 5% ในปี 2556 เทียบกับ 19% ในปี 2555 สภาวะเศรษฐกิจที่ไม่เอื้ออำนวยส่งผลกระทบต่อพอร์ตสินเชื่อ โดย ณ สิ้นเดือนกันยายน 2557 บริษัทมีสินเชื่อและดอกเบี้ยค้างรับ 772.8 พันล้านบาท หดตัวลง 2% จากสิ้นเดือนธันวาคม 2556 โดยมูลค่าพอร์ตสินเชื่อรถยนต์ซึ่งเป็นพอร์ตที่ใหญ่ที่สุด ลดลง 6% จากสิ้นเดือนธันวาคม 2556
สถานะด้านความเสี่ยงของบริษัทยังคงกระทบจากสินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (สินเชื่อที่ค้างชำระเกินกว่า 3 เดือน สินเชื่อที่ปรับโครงสร้างหนี้ และสินทรัพย์รอการขาย) ในระดับสูง โดยบางส่วนเป็นสินทรัพย์ที่ธนาคารธนชาตได้รับจากการซื้อกิจการของธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) ปริมาณสินเชื่อด้อยคุณภาพลดลงในปี 2555 แต่กลับเพิ่มขึ้นในปี 2556 จนถึง 9 เดือนแรกของปี 2557 เนื่องจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัว สินเชื่อด้อยคุณภาพ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2557 มีจำนวน 37.5 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 34.3 พันล้านบาทในปี 2555 อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อสินเชื่อรวมเพิ่มขึ้นจาก 4.5% ในปี 2555 เป็น 4.9% ในเดือนกันยายน 2557 ธนาคารธนชาตได้ตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญเป็นพิเศษในปี 2556 เพื่อเพิ่มปริมาณสำรองส่วนเกินให้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม สำรองส่วนเกินของธนาคารยังคงต่ำกว่ากลุ่มธนาคารอื่น ณ เดือนกันยายน 2557 บริษัทมีอัตราส่วนสำรองหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพเท่ากับ 85% ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม ทั้งนี้ บริษัทยังคงเผชิญกับความท้าทายอย่างต่อเนื่องทั้งในส่วนของการควบคุมสินเชื่อด้อยคุณภาพและการเพิ่มปริมาณสำรองหนี้สงสัยจะสูญให้มากยิ่งขึ้น
ในงวด 9 เดือนแรกของปี 2557 บริษัทมีกำไรสุทธิ 7.7 พันล้านบาท ลดลง 46% เนื่องจากผลลัพธ์สุทธิจากรายการพิเศษของธนาคารธนชาต 2 รายการที่เกิดขึ้นในปี 2556 ได้แก่ กำไรจากการขายธุรกิจประกันชีวิตและสำรองหนี้สงสัยจะสูญที่เพิ่มเติมเป็นพิเศษ ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทยังคงอ่อนแอกว่าเมื่อเทียบกับกลุ่มธนาคารอื่น โดยยังคงมีอัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม
บริษัทมีเงินกองทุนที่เพียงพอต่อการขยายตัวในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า โดย ณ เดือนมิถุนายน 2557 อัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ของกลุ่มธุรกิจเท่ากับ 8.88% และอัตราส่วนเงินกองทุนรวมเท่ากับ 13.66% ซึ่งยังคงสูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ระดับ 6.00% และ 8.50% ตามลำดับ
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com ติดต่อ santaya@trisrating.com โทร. 0-2231-3011 ต่อ 500 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500 บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2558 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่เพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยมิได้รับอนุญาต การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html