กรุงเทพ--11 พ.ย.--ทริส
เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2540 บริษัท ไทยเรทติ้งแอนด์อินฟอร์เมชั่นเซอร์วิส จำกัด (ทริส) ประกาศทบทวนอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่มีประกัน 5,000 ล้านบาทของบริษัทไทยยูไนเต็ดคอมมูนิเคชั่น อินดัสตรี จำกัด (มหาชน) หรือยูคอม เป็น"BBB+" จาก "A" ทั้งนี้เป็นผลมาจากยูคอมมีภาระหนี้เพิ่มเป็นอย่างมากจากการที่ค่าเงินบาทลดลง ซึ่งทำให้บริษัทมีแนวโน้มที่จะละเมิดเงื่อนไขของหุ้นกู้ดังกล่าวที่ระบุให้บริษัทต้องรักษาอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นไม่ให้เกิน 3 ต่อ 1 นอกจากนี้ คาดว่าภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาจะลดปริมาณความต้องการสินค้าโทรคมนาคมลง ซึ่งจะเป็นการเพิ่มการแข่งขันในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมให้รุนแรงมากยิ่งขึ้น และทำให้รายได้ของกลุ่มยูคอมน้อยกว่าที่คาดไว้ อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตได้รับปัจจัยสนับสนุนบางส่วนจากพื้นฐานทางธุรกิจที่ดีของบริษัทรวมทั้งความสามารถและวิสัยทัศน์ของผู้บริหาร นอกจากนี้สถานะทางตลาดที่แข็งแกร่งของการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ของบริษัท โทเทิล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) (แท็ค) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของยูคอม คาดว่าจะก่อรายได้ที่มากอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่องให้กลุ่มยูคอมในอนาคต
ทริสรายงานว่ากลุ่มบริษัทยูคอมมีพื้นฐานที่ดีในธุรกิจด้านโทรคมนาคม อาทิ การให้บริการระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ วิทยุติดตามตัว วิทยุคมนาคมเฉพาะกิจ และธุรกิจการให้บริการสื่อสารภาพและข้อมูล (มัลติมีเดีย) โดยใช้โครงสร้างเครือข่ายโทรคมนาคมคือ เครือข่ายไมโครเวฟ ดาวเทียม และสายเคเบิลใยแก้วนำแสง ปัจจุบันการให้บริการระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่เป็นธุรกิจที่สำคัญที่สุดของกลุ่มยูคอม โดยมีแท็คซึ่งยูคอมถือหุ้นอยู่ 71% เป็นผู้ให้บริการระบบ รายได้จากแท็คคิดเป็นสัดส่วน52% ของรายได้รวมทั้งหมดของยูคอมในปี 2539 การให้บริการระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ในประเทศไทยเป็นแบบผู้ให้บริการเพียงสองรายใหญ่ครองตลาด โดยองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย (ทศท.) และการสื่อสารแห่งประเทศไทย (กสท.) ได้ให้สัมปทานการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่เป็นระยะเวลา 27 ปีแก่ บริษัท แอ็ดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (แอ็ดวานซ์) และแท็ค ตามลำดับ จากการที่มีเครือข่ายที่ครอบคลุมกว้างขวางและฐานลูกค้าที่ใหญ่ แท็คมีสัดส่วนทางตลาดในการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่คิดเป็น 41% ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2540 ซึ่งตามหลังแอ็ดวานซ์ที่มีสัดส่วนตลาด 48% รายได้ที่สม่ำเสมอจากแท็คน่าจะเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญของกลุ่มยูคอมในอนาคต
ภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาของประเทศทำให้ปริมาณความต้องการสินค้าและบริการที่ไม่จำเป็นลดลง ซึ่งรวมถึงการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ จากสถิติตัวเลขจำนวนลูกค้าที่ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ของแท็คเพิ่มขึ้นเพียง 10% ในครึ่งปีแรกของปี 2540 เทียบกับการเพิ่มขึ้น 25% ในครึ่งปีแรกของปี 2539 อัตราการโตของเครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่จดทะเบียนคาดว่าจะช้าลงตลอดสองถึงสามปีข้างหน้า ซึ่งจะทำให้รายได้จากการให้บริการระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่สำหรับกลุ่มยูคอมต่ำกว่าที่คาดการณ์คาดว่าปริมาณความต้องการโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่น้อยลงจะเพิ่มการแข่งขันที่รุนแรงอยู่แล้วให้มีความรุนแรงยิ่งขึ้นจากการโฆษณาและส่งเสริมการขายรูปแบบต่าง ๆ ธุรกิจอื่นที่สำคัญของยูคอมคือธุรกิจการติดตั้งเครือข่ายโทรคมนาคมซึ่งมีสัดส่วนรายได้คิด เป็น 20% ของรายได้รวมในปี 2539 อย่างไรก็ตามการตัดงบประมาณจากภาครัฐมีแนวโน้มว่าจะลดลงจำนวนโครงการใหม่ของธุรกิจการติดตั้งเครือข่าวโทรคมนาคมในอนาคต นอกจากนี้โครงการจากภาครัฐของยูคอมในปัจจุบันซึ่งก่อรายได้คิดเป็นสัดส่วน 70% ของรายได้จากธุรกิจนี้ของบริษัทอาจจะประสบปัญหาการชำระเงินล่าช้าจากภาครัฐได้ ดังนั้นรายได้จากธุรกิจการติดตั้งเครือข่ายโทรคมนาคมน่าจะลดลงในอนาคต
ยูคอมคาดว่าจะมีรายได้สูงจากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ของแท็ค ซึ่งคาดว่าจะทำให้อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินรวมอยู่ที่ระดับสูงที่ 35-40% ในปี 2540 ระหว่างช่วงปลายปี 2540 และคาดว่าจะเพิ่มสภาพคล่องจากเงินสด 7,200 ล้านบาทจากการขายหุ้นในแท็ค 10% ให้แก่พันธมิตรทางการค้าต่างประเทศ การลงทุนในต่างประเทศของบริษัทมูลค่าประมาณ 85 ล้านดอลลาร์สหรัฐก็น่าจะช่วยเสริมสภาพคล่องเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามการลดค่าเงินบาทได้เพิ่มความเสี่ยงแก่ยูคอมในการชำระหนี้สกุลเงินต่างประเทศ ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2540 ยูคอมมีหนี้ต่างประเทศที่ไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงคิดเป็น 90% ของหนี้รวมของบริษัท ซึ่งหนี้ต่างประเทศที่ไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงประกอบด้วย เงินกู้ยืมระยะสั้นมูลค่า 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งได้ต่ออายุหนี้ไปถึงปี 2541 แล้ว เงินกู้ยืมระยะยาวมูลค่า 315 ล้านดอลลาร์ ซึ่งถึงกำหนดชำระคืนปี 2542-2546 และหุ้นกู้รวมทั้งหุ้นกู้แปลงสภาพมูลค่า 880 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งถึงกำหนดชำระคืนปี 2544-2549 ค่าเงินบาทที่อ่อนลงจะเพิ่มภาระหนี้ของบริษัทจากที่มีภาระหนี้สูงอยู่แล้วประมาณ 42,000 ล้านบาท ณ ครึ่งปีแรกของปี 2540 ส่วนของผู้ถือหุ้นก็คาดว่าจะลดลงจากการที่บริษัทตัดค่าสูญเสียจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งหมดในปี 2540 ดังนั้น อัตราส่วนหนี้สินรวมต่อโครงสร้างส่วนทุน ณ สิ้นปี 2540 คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 75-80% ซึ่งเป็นระดับที่น่าห่วงมาก เนื่องจากจะเป็นการละเมิดเงื่อนไขของหุ้นกู้มูลค่า 5,000 ล้านบาทที่ระบุให้ยูคอมรักษาอัตราส่วนหนี้สินรวมต่อโครงสร้างส่วนทุนได้ไม่เกิน 75%
จนกว่ากลุ่มยูคอมจะเพิ่มทุนหรือมีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขในสัญญาหุ้นกู้นี้ บริษัทจะต้องชำระคืนเงินต้นของหุ้นกู้พร้อมดอกเบี้ยทั้งหมด ทริสเป็นห่วงอัตราส่วนหนี้สินรวมต่อโครงสร้างส่วนทุนของยูคอมในตลอดสองถึงสามปีข้างหน้า ทั้งนี้ยูคอมต้องการเงินทุนหมุนเวียนอย่างมากจากธุรกิจของแท็คและธุรกิจที่พัฒนาขึ้นมาใหม่ เพื่อที่จะพัฒนาสถานะทางการเงินของบริษัทให้ดีขึ้นในอนาคต
อันดับเครดิตครั้งนี้ใช้แทนประกาศ "เครดิตพินิจ" ของทริสเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2540 ซึ่งเป็นผลมาจากประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทยที่เปลี่ยนแปลงระบบอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศจากระบบตะกร้าเงินเป็นแบบลอยตัว อันมีนัยความหมายของการลดค่าเงินบาท--จบ--
เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2540 บริษัท ไทยเรทติ้งแอนด์อินฟอร์เมชั่นเซอร์วิส จำกัด (ทริส) ประกาศทบทวนอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่มีประกัน 5,000 ล้านบาทของบริษัทไทยยูไนเต็ดคอมมูนิเคชั่น อินดัสตรี จำกัด (มหาชน) หรือยูคอม เป็น"BBB+" จาก "A" ทั้งนี้เป็นผลมาจากยูคอมมีภาระหนี้เพิ่มเป็นอย่างมากจากการที่ค่าเงินบาทลดลง ซึ่งทำให้บริษัทมีแนวโน้มที่จะละเมิดเงื่อนไขของหุ้นกู้ดังกล่าวที่ระบุให้บริษัทต้องรักษาอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นไม่ให้เกิน 3 ต่อ 1 นอกจากนี้ คาดว่าภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาจะลดปริมาณความต้องการสินค้าโทรคมนาคมลง ซึ่งจะเป็นการเพิ่มการแข่งขันในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมให้รุนแรงมากยิ่งขึ้น และทำให้รายได้ของกลุ่มยูคอมน้อยกว่าที่คาดไว้ อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตได้รับปัจจัยสนับสนุนบางส่วนจากพื้นฐานทางธุรกิจที่ดีของบริษัทรวมทั้งความสามารถและวิสัยทัศน์ของผู้บริหาร นอกจากนี้สถานะทางตลาดที่แข็งแกร่งของการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ของบริษัท โทเทิล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) (แท็ค) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของยูคอม คาดว่าจะก่อรายได้ที่มากอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่องให้กลุ่มยูคอมในอนาคต
ทริสรายงานว่ากลุ่มบริษัทยูคอมมีพื้นฐานที่ดีในธุรกิจด้านโทรคมนาคม อาทิ การให้บริการระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ วิทยุติดตามตัว วิทยุคมนาคมเฉพาะกิจ และธุรกิจการให้บริการสื่อสารภาพและข้อมูล (มัลติมีเดีย) โดยใช้โครงสร้างเครือข่ายโทรคมนาคมคือ เครือข่ายไมโครเวฟ ดาวเทียม และสายเคเบิลใยแก้วนำแสง ปัจจุบันการให้บริการระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่เป็นธุรกิจที่สำคัญที่สุดของกลุ่มยูคอม โดยมีแท็คซึ่งยูคอมถือหุ้นอยู่ 71% เป็นผู้ให้บริการระบบ รายได้จากแท็คคิดเป็นสัดส่วน52% ของรายได้รวมทั้งหมดของยูคอมในปี 2539 การให้บริการระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ในประเทศไทยเป็นแบบผู้ให้บริการเพียงสองรายใหญ่ครองตลาด โดยองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย (ทศท.) และการสื่อสารแห่งประเทศไทย (กสท.) ได้ให้สัมปทานการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่เป็นระยะเวลา 27 ปีแก่ บริษัท แอ็ดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (แอ็ดวานซ์) และแท็ค ตามลำดับ จากการที่มีเครือข่ายที่ครอบคลุมกว้างขวางและฐานลูกค้าที่ใหญ่ แท็คมีสัดส่วนทางตลาดในการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่คิดเป็น 41% ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2540 ซึ่งตามหลังแอ็ดวานซ์ที่มีสัดส่วนตลาด 48% รายได้ที่สม่ำเสมอจากแท็คน่าจะเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญของกลุ่มยูคอมในอนาคต
ภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาของประเทศทำให้ปริมาณความต้องการสินค้าและบริการที่ไม่จำเป็นลดลง ซึ่งรวมถึงการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ จากสถิติตัวเลขจำนวนลูกค้าที่ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ของแท็คเพิ่มขึ้นเพียง 10% ในครึ่งปีแรกของปี 2540 เทียบกับการเพิ่มขึ้น 25% ในครึ่งปีแรกของปี 2539 อัตราการโตของเครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่จดทะเบียนคาดว่าจะช้าลงตลอดสองถึงสามปีข้างหน้า ซึ่งจะทำให้รายได้จากการให้บริการระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่สำหรับกลุ่มยูคอมต่ำกว่าที่คาดการณ์คาดว่าปริมาณความต้องการโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่น้อยลงจะเพิ่มการแข่งขันที่รุนแรงอยู่แล้วให้มีความรุนแรงยิ่งขึ้นจากการโฆษณาและส่งเสริมการขายรูปแบบต่าง ๆ ธุรกิจอื่นที่สำคัญของยูคอมคือธุรกิจการติดตั้งเครือข่ายโทรคมนาคมซึ่งมีสัดส่วนรายได้คิด เป็น 20% ของรายได้รวมในปี 2539 อย่างไรก็ตามการตัดงบประมาณจากภาครัฐมีแนวโน้มว่าจะลดลงจำนวนโครงการใหม่ของธุรกิจการติดตั้งเครือข่าวโทรคมนาคมในอนาคต นอกจากนี้โครงการจากภาครัฐของยูคอมในปัจจุบันซึ่งก่อรายได้คิดเป็นสัดส่วน 70% ของรายได้จากธุรกิจนี้ของบริษัทอาจจะประสบปัญหาการชำระเงินล่าช้าจากภาครัฐได้ ดังนั้นรายได้จากธุรกิจการติดตั้งเครือข่ายโทรคมนาคมน่าจะลดลงในอนาคต
ยูคอมคาดว่าจะมีรายได้สูงจากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ของแท็ค ซึ่งคาดว่าจะทำให้อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินรวมอยู่ที่ระดับสูงที่ 35-40% ในปี 2540 ระหว่างช่วงปลายปี 2540 และคาดว่าจะเพิ่มสภาพคล่องจากเงินสด 7,200 ล้านบาทจากการขายหุ้นในแท็ค 10% ให้แก่พันธมิตรทางการค้าต่างประเทศ การลงทุนในต่างประเทศของบริษัทมูลค่าประมาณ 85 ล้านดอลลาร์สหรัฐก็น่าจะช่วยเสริมสภาพคล่องเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามการลดค่าเงินบาทได้เพิ่มความเสี่ยงแก่ยูคอมในการชำระหนี้สกุลเงินต่างประเทศ ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2540 ยูคอมมีหนี้ต่างประเทศที่ไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงคิดเป็น 90% ของหนี้รวมของบริษัท ซึ่งหนี้ต่างประเทศที่ไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงประกอบด้วย เงินกู้ยืมระยะสั้นมูลค่า 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งได้ต่ออายุหนี้ไปถึงปี 2541 แล้ว เงินกู้ยืมระยะยาวมูลค่า 315 ล้านดอลลาร์ ซึ่งถึงกำหนดชำระคืนปี 2542-2546 และหุ้นกู้รวมทั้งหุ้นกู้แปลงสภาพมูลค่า 880 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งถึงกำหนดชำระคืนปี 2544-2549 ค่าเงินบาทที่อ่อนลงจะเพิ่มภาระหนี้ของบริษัทจากที่มีภาระหนี้สูงอยู่แล้วประมาณ 42,000 ล้านบาท ณ ครึ่งปีแรกของปี 2540 ส่วนของผู้ถือหุ้นก็คาดว่าจะลดลงจากการที่บริษัทตัดค่าสูญเสียจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งหมดในปี 2540 ดังนั้น อัตราส่วนหนี้สินรวมต่อโครงสร้างส่วนทุน ณ สิ้นปี 2540 คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 75-80% ซึ่งเป็นระดับที่น่าห่วงมาก เนื่องจากจะเป็นการละเมิดเงื่อนไขของหุ้นกู้มูลค่า 5,000 ล้านบาทที่ระบุให้ยูคอมรักษาอัตราส่วนหนี้สินรวมต่อโครงสร้างส่วนทุนได้ไม่เกิน 75%
จนกว่ากลุ่มยูคอมจะเพิ่มทุนหรือมีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขในสัญญาหุ้นกู้นี้ บริษัทจะต้องชำระคืนเงินต้นของหุ้นกู้พร้อมดอกเบี้ยทั้งหมด ทริสเป็นห่วงอัตราส่วนหนี้สินรวมต่อโครงสร้างส่วนทุนของยูคอมในตลอดสองถึงสามปีข้างหน้า ทั้งนี้ยูคอมต้องการเงินทุนหมุนเวียนอย่างมากจากธุรกิจของแท็คและธุรกิจที่พัฒนาขึ้นมาใหม่ เพื่อที่จะพัฒนาสถานะทางการเงินของบริษัทให้ดีขึ้นในอนาคต
อันดับเครดิตครั้งนี้ใช้แทนประกาศ "เครดิตพินิจ" ของทริสเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2540 ซึ่งเป็นผลมาจากประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทยที่เปลี่ยนแปลงระบบอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศจากระบบตะกร้าเงินเป็นแบบลอยตัว อันมีนัยความหมายของการลดค่าเงินบาท--จบ--