ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันในวงเงินไม่เกิน 2,000 ล้านบาทของ บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “AA-” พร้อมทั้งยืนยันอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของบริษัทที่ระดับ “AA-” ด้วย โดยแนวโน้มยังคง “Stable” หรือ “คงที่” ทั้งนี้ บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปใช้ตามวัตถุประสงค์ของบริษัทและชำระหนี้เงินกู้ยืม ทั้งนี้ อันดับเครดิตสะท้อนถึงความเป็นผู้นำธุรกิจในฐานะผู้ประกอบการโรงพยาบาลเอกชนรายใหญ่ที่สุดในประเทศ เครือข่ายในการรองรับ-ส่งต่อและให้บริการผู้ป่วยที่แข็งแกร่งและกว้างขวางของบริษัท ตลอดจนผลการดำเนินงานที่เข้มแข็งด้วยการสร้างกระแสเงินสดที่แข็งแกร่ง ในการพิจารณาอันดับเครดิตยังรวมถึงคณะผู้บริหาร บุคลากร และผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ที่มีความสามารถและมากประสบการณ์ด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากการใช้เงินลงทุนจำนวนมากเพื่อการขยายกิจการในระยะปานกลาง ตลอดจนสภาวะการแข่งขันในธุรกิจเพื่อสุขภาพทั้งในตลาดภายในประเทศและต่างประเทศ
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” ของบริษัทกรุงเทพดุสิตเวชการสะท้อนถึงความคาดหมายของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะสามารถคงความเป็นผู้นำในธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนทั้งในประเทศและในภูมิภาค อีกทั้งยังคงผลประกอบการที่เข้มแข็งไว้ได้ ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดหวังให้บริษัทขยายเครือข่ายโรงพยาบาลโดยไม่ทำให้สถานะทางการเงินอ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญ อันดับเครดิตของบริษัทอาจได้รับแรงกดดันให้ต้องปรับลดลงหากบริษัทมีการลงทุนโดยการก่อหนี้เชิงรุก หรือหากการทำกำไรของบริษัทแย่ลงเป็นระยะเวลานาน โอกาสในการปรับเพิ่มอันดับเครดิตของบริษัทสามารถเกิดขึ้นได้หากสถานะทางการเงินของบริษัทปรับดียิ่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญที่ทำให้ระดับอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมอยู่ที่ระดับ 60%-70% เป็นระยะเวลาต่อเนื่อง
บริษัทกรุงเทพดุสิตเวชการก่อตั้งในปี 2512 และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเมื่อปี 2534 บริษัทเป็นผู้นำธุรกิจในฐานะผู้ประกอบการโรงพยาบาลเอกชนรายใหญ่ที่สุดในประเทศด้วยเครือข่ายตราสัญลักษณ์โรงพยาบาลที่แข็งแกร่ง ปัจจุบันบริษัทมีโรงพยาบาลในเครือทั้งหมด 41 แห่งภายใต้ตราสัญลักษณ์โรงพยาบาลที่เป็นที่รู้จักในประเทศจำนวน 5 ตรา ภายใต้ตราสัญลักษณ์โรงพยาบาลต่างประเทศ 1 ตรา และภายใต้ตราสัญลักษณ์โรงพยาบาลอื่น ๆ ในประเทศอีก 6 ตรา โดยตราสัญลักษณ์โรงพยาบาลหลักคือโรงพยาบาลกรุงเทพ (19 แห่ง) โรงพยาบาลสมิติเวช (5 แห่ง) โรงพยาบาลบีเอ็นเอช (1 แห่ง) โรงพยาบาลพญาไท (5 แห่ง) และ โรงพยาบาลเปาโล (3 แห่ง) ตราสัญลักษณ์เหล่านี้เป็นที่รู้จักอย่างดีในกลุ่มคนไทย ส่วนโรงพยาบาล 2 แห่งในประเทศกัมพูชาดำเนินงานภายใต้ชื่อ Royal International Hospital นอกจากนี้ ยังมีโรงพยาบาลอีก 6 แห่งที่ดำเนินงานภายใต้ตราสัญลักษณ์โรงพยาบาลท้องถิ่นคือโรงพยาบาลสนามจันทร์ โรงพยาบาลเทพากร โรงพยาบาลภูเก็ตอินเตอร์เนชั่นแนล โรงพยาบาลศรีระยอง โรงพยาบาลดีบุก และโรงพยาบาลเมืองเพชร ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2558 บริษัทมีความสามารถในการให้บริการผู้ป่วยในทั้งสิ้น 5,507 เตียง ฐานลูกค้าของบริษัทครอบคลุมกลุ่มคนไข้ระดับกลางถึงระดับบนในหลากหลายทำเล
สถานะทางธุรกิจของบริษัทมีความแข็งแกร่งมากซึ่งสะท้อนถึงการเป็นผู้นำธุรกิจในฐานะผู้ประกอบการโรงพยาบาลเอกชนรายใหญ่ที่สุดในประเทศ ความได้เปรียบในการแข่งขันของบริษัทมาจากความหลากหลายทั้งในด้านบริการ ฐานลูกค้า และทำเลที่ตั้ง บริษัทเป็นแหล่งรวมบุคลากรทางการแพทย์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไม่ว่าจะเป็นแพทย์ พยาบาล รวมถึงพนักงานคลังยาและเวชภัณฑ์ อีกทั้งยังมีเครือข่ายระบบส่งต่อผู้ป่วยที่แข็งแกร่งที่สุดด้วย โรงพยาบาลในกลุ่มเน้นการรักษาและให้บริการในระดับตติยภูมิซึ่งจะช่วยเพิ่มรายได้และเพิ่มอัตราการใช้เครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ รวมทั้งบริการตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการให้มากยิ่งขึ้น การประหยัดจากขนาดซึ่งเป็นผลจากการใช้บริการห้องปฏิบัติการ การจัดซื้อยา เวชภัณฑ์ และเครื่องมือทางการแพทย์หลักร่วมกันจะก่อให้เกิดประโยชน์ในการใช้ต้นทุนที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ผลการดำเนินงานของบริษัทยังคงแข็งแกร่งดีอย่างต่อเนื่อง รายได้จากการดำเนินกิจการโรงพยาบาลของบริษัทในช่วงปี 2552-2557 มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยสะสมต่อปีที่ระดับ 18% บริษัทมีรายได้จากธุรกิจโรงพยาบาลในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2558 ที่ 14,845 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากการเติบโตของจำนวนคนไข้ในเครือข่ายโรงพยาบาล การเพิ่มจำนวนผู้ป่วยส่งต่อ และการรวมรายได้จากกิจการโรงพยาบาลที่ควบรวมเข้ามา โดยในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2558 โรงพยาบาลมีความสามารถในการให้บริการผู้ป่วยนอกจำนวน 24,434 คนต่อวัน เพิ่มขึ้น 7.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และรองรับผู้ป่วยในจำนวน 3,618 เตียงต่อวัน ซึ่งเพิ่มขึ้น 6.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน รายได้จากผู้ป่วยประมาณ 56% มาจากผู้ป่วยใน และที่เหลือมาจากผู้ป่วยนอก ส่วนรายได้จากกลุ่มผู้ป่วยที่ชำระเงินเองมีมากกว่า 63% ของรายได้รวม
ในช่วงปี 2558-2560 สมมติฐานพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้ของบริษัทจะเติบโตโดยเฉลี่ย 10% ต่อปี โดยปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตทางธุรกิจจะมาจากการเปิดโรงพยาบาลแห่งใหม่และการเติบโตของจำนวนผู้ป่วยในโรงพยาบาลในเครือของบริษัท อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงาน(อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้) อยู่ที่ 21.5% ในปี 2557 และ 23.6% ในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2558 เปรียบเทียบกับระดับ 20.4% ในปี 2556 อันเป็นผลมาจากรายได้ที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งและการควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพของบริษัท โดยทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนกำไรของบริษัทในช่วง 2558-2560 จะอยู่ที่ระดับประมาณ 22%
สถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งของบริษัทได้รับแรงหนุนจากผลการดำเนินงานที่ดี ตลอดจนความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดที่แข็งแกร่งขึ้น และสภาพคล่องที่เพียงพอ เงินทุนจากการดำเนินงานของบริษัทอยู่ที่ 10,832 ล้านบาทในปี 2557 ปรับสูงขึ้นจาก 9,411 ล้านบาทในปี 2556 ในช่วงปี 2558-2560 ทริสเรทติ้งคาดว่ากระแสเงินสดจากการดำเนินงานของบริษัทจะอยู่ในช่วง 11,000-13,000 ล้านบาทต่อปี โดยอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมจะอยู่ในช่วง 35%-45% ในปี 2558-2560
บริษัทวางแผนจะขยายเครือข่ายโรงพยาบาลในเครือเป็น 50 แห่งภายในปี 2561 เพื่อดำเนินการตามกลยุทธ์การเติบโตดังกล่าว บริษัทก่อสร้างโรงพยาบาลใหม่อย่างต่อเนื่องและได้ซื้อธุรกิจโรงพยาบาลอื่น ๆ เพื่อขยายฐานคนไข้ในหลายพื้นที่ การขยายธุรกิจทำให้ภาระหนี้ของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 22,801 ล้านบาท ณ ปลายปี 2556 มาเป็น 28,991 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2558 อย่างไรก็ตาม เนื่องจากบริษัทมีฐานทุนขนาดใหญ่และบริหารโครงสร้างเงินทุนอย่างระมัดระวัง จึงทำให้อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 40% ในช่วงปี 2556 ถึงสิ้นเดือนมีนาคม 2558 ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีค่าใช้จ่ายฝ่ายทุนโดยรวมประมาณ 30,000 ล้านบาทในช่วงปี 2558-2560 โดยคาดว่าเงินทุนสำหรับการลงทุนบางส่วนจะมาจากกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดหวังให้บริษัทจัดการโครงสร้างเงินทุนอย่างระมัดระวังและรักษาความยืดหยุ่นทางการเงินที่เพียงพอ นอกจากนี้ ยังคาดหวังให้บริษัทคงอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนให้อยู่ในระดับไม่เกิน 45% ในช่วง 3 ปีข้างหน้าด้วย
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com ติดต่อ santaya@trisrating.com โทร. 0-2231-3011 ต่อ 500 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500 บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2558 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่เพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยมิได้รับอนุญาต การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html