ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท ทรู มูฟ เอช ยูนิเวอร์แซล คอมมิวนิเคชั่น จำกัด ที่ระดับ “BBB+” ด้วยแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะของบริษัทที่เป็นผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในลำดับที่ 3 ของประเทศ ตลอดจนสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งขึ้นหลังจากที่ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ได้ทำการเพิ่มทุนเมื่อปีก่อน ทั้งนี้ บริษัทถือเป็นหนึ่งในกลุ่มธุรกิจหลักภายใต้กลุ่มบริษัททรู คอร์ปอเรชั่นโดยบริษัททำหน้าที่บริหารงานด้านการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ การประเมินอันดับเครดิตยังพิจารณาถึงการสนับสนุนที่บริษัทได้รับจากกลุ่มบริษัททรู คอร์ปอเรชั่นทั้งในด้านผู้บริหาร ตราสินค้าที่เป็นที่ยอมรับ และความช่วยเหลือทางด้านการเงิน อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนลงจากการทำกำไรที่อ่อนแอของบริษัท ตลอดจนการแข่งขันในอุตสาหกรรมสื่อสารแบบไร้สายที่รุนแรงขึ้น และการลงทุนขนาดใหญ่เพื่อขยายโครงข่ายทั่วประเทศ
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงความคาดหมายว่าบริษัทจะยังคงรักษาสถานะทางการตลาดเอาไว้ได้และมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรง อีกทั้งจะยังคงสถานะความเป็นธุรกิจหลักของบริษัททรู คอร์ปอเรชั่นไม่เปลี่ยนแปลง
โอกาสในการปรับเพิ่มอันดับเครดิตของบริษัทในระยะเวลาอันใกล้นี้ค่อนข้างมีจำกัด แต่สามารถเกิดขึ้นได้หากสถานะทางการเงินและผลการดำเนินงานของบริษัทแข็งแกร่งกว่าที่คาดไว้ การเปลี่ยนแปลงใดใดที่จะเกิดกับอันดับเครดิตของบริษัททรู คอร์ปอเรชั่นจะส่งผลต่ออันดับเครดิตของบริษัทตามไปด้วย ความเสี่ยงที่บริษัทจะถูกปรับลดอันดับเครดิตจะเกิดขึ้นได้ในกรณีการทำกำไรของบริษัทยังคงอ่อนแออย่างต่อเนื่อง หรือบริษัทมีการลงทุนโดยการก่อหนี้เชิงรุก
บริษัททรู มูฟ เอช ยูนิเวอร์แซล คอมมิวนิเคชั่น ก่อตั้งในปี 2553 โดยมีบริษัททรู คอร์ปอเรชั่นเป็นผู้ถือหุ้นทั้งหมด บริษัททรู คอร์ปอเรชั่นประกอบธุรกิจโทรคมนาคมแบบผสมผสานโดยให้บริการโทรศัพท์พื้นฐาน อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง (Broadband) โทรศัพท์เคลื่อนที่ และโทรทัศน์ระบบบอกรับสมาชิก บริษัททรู มูฟ เอช ยูนิเวอร์แซล คอมมิวนิเคชั่น รับผิดชอบหลักในส่วนของธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่โดยให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่บนคลื่นความถี่ 850 เมกะเฮิร์ทซ์ (Megahertz--MHz) ภายใต้สัญญาธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งระยะเวลา 15 ปีกับ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) (กสท.) และให้บริการบนคลื่นความถี่ 2100 เมกะเฮิร์ทซ์ภายใต้ใบอนุญาต 15 ปีจากคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) โดยดำเนินงานภายใต้สัญญาถึงปี 2568 และถึงปี 2570 ตามลำดับ สำหรับการให้บริการบนคลื่นความถี่ 1800 MHz ภายใต้สัญญาสัมปทานนั้นหมดอายุไปแล้วเมื่อเดือนกันยายน 2556 บริษัท ทรู มูฟ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูก ได้รับอนุญาตจาก กสทช. ให้เป็นผู้ดูแลการให้บริการ (Caretaker) ดังกล่าวจนถึงเดือนกรกฎาคม 2558
บริษัทเป็นผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในลำดับที่ 3 ของประเทศ ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2558 บริษัทมีลูกค้าทั้งสิ้นจำนวน 21.5 ล้านราย บริษัทสร้างรายได้จำนวน 74,185 ล้านบาทในปี 2557 และจำนวน 19,835 ล้านบาทในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2558 บริษัทมีส่วนแบ่งทางการตลาดประมาณ 23% ของจำนวนลูกค้าทั้งหมดและ 18% ของรายได้จากการให้บริการในอุตสาหกรรมให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ บริษัทเป็นผู้ให้บริการผ่านโครงข่ายโทรศัพท์ 3จี (3G) และ 4จี LTE (Long Term Evolution) เป็นรายแรกเมื่อปี 2554 และเมื่อปี 2556 ตามลำดับ บริษัทมีลูกค้าบนโครงข่าย 3จี และ 4จี ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2558 ประมาณ 20.7 ล้านราย หรือคิดเป็นประมาณ 25% ของจำนวนลูกค้าบนโครงข่าย 3จี และ 4จี ทั้งหมดในอุตสาหกรรม บริษัทมุ่งเน้นการขยายโครงข่ายบนคลื่นความถี่ 2100 เมกะเฮิร์ทซ์ทั่วประเทศโดยใช้เทคโนโลยี 4จี เพื่อเสริมสร้างความเป็นผู้นำในการให้บริการด้านข้อมูล
เมื่อพิจารณาถึงความสำคัญในเชิงกลยุทธ์และสัดส่วนผลการดำเนินงานของบริษัทที่มีต่อกลุ่มบริษัททรู คอร์ปอเรชั่นแล้ว อันดับเครดิตของบริษัทจึงมีความเชื่อมโยงกับอันดับเครดิตของบริษัททรู คอร์ปอเรชั่นเป็นอย่างมาก บริษัทสร้างรายได้ในปี 2557 ในสัดส่วน 67% ของรายได้รวมของบริษัททรู คอร์ปอเรชั่น และสร้างกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ในสัดส่วนประมาณ 39% ของ EBITDA รวมของบริษัททรู คอร์ปอเรชั่น นอกจากนี้ บริษัททรู คอร์ปอเรชั่นยังเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องอย่างเต็มที่ในการดำเนินงานของบริษัททั้งในเรื่องการแต่งตั้งกรรมการและผู้บริหารระดับสูง ตลอดจนการให้ความช่วยเหลือทางด้านการเงินในรูปแบบการเพิ่มทุนมูลค่ารวมประมาณ 85,000 ล้านบาทในช่วงปี 2554-2557 ความแข็งแกร่งทางธุรกิจของบริษัทได้รับแรงหนุนจากการใช้ตราสัญลักษณ์ของกลุ่มบริษัททรู คอร์ปอเรชั่น ซึ่งบริษัทให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ภายใต้ตราสัญลักษณ์ “true move H” นอกจากนี้ ร้านค้าและสาขาของบริษัททรู คอร์ปอเรชั่นยังได้รวมการให้บริการต่างๆ ของกลุ่มบริษัททรู คอร์ปอเรชั่นเข้าไว้ด้วยกัน ซึ่งรวมถึง “true broadband” (บริการโทรศัพท์พื้นฐานและอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง) และ “true visions” (เคเบิลทีวีระบบบอกรับสมาชิก) ด้วย ทั้งนี้ ความช่วยเหลือจากบริษัททรู คอร์ปอเรชั่นช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้แก่บริษัทและเป็นปัจจัยบวกต่ออันดับเครดิตของบริษัท
รายได้ของอุตสาหกรรมโทรศัพท์เคลื่อนซึ่งไม่รวมค่าเชื่อมต่อโครงข่ายโทรคมนาคม (Interconnection Charge -- IC) เติบโต 1% ในปี 2557 และ 3.7% ในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2558 เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน รายได้ที่เติบโตมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการให้บริการด้านข้อมูลจำนวน 27% ในขณะที่รายได้จากการให้บริการเสียงลดลง 14% คาดว่ารายได้ของทั้งอุตสาหกรรมจะเติบโตในระดับปานกลางในปี 2558 เนื่องจากอุปสงค์ในบริการด้านข้อมูลยังคงเติบโตดี สำหรับการประมูลใบอนุญาตการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ด้วยเทคโนโลยีการรับส่งข้อมูลความเร็วสูง (LTE) นั้นคาดว่าจะมีขึ้นในช่วงปลายปี 2558 ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการลงทุนในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า
บริษัทมีรายได้บริการซึ่งไม่รวมค่า IC เติบโตในอัตรา 9%-14% ต่อปีในช่วงปี 2554 ถึงไตรมาสแรกของปี 2558 ซึ่งเติบโตดีกว่าอุตสาหกรรม โดยได้รับแรงหนุนจากบริการด้านข้อมูลที่เกิดจากการขยายโครงข่าย 3จี และ 4จี ของบริษัท ตลอดจนกระแสความนิยมในสังคมเครือข่ายที่ติดต่อสื่อสารผ่านอินเทอร์เน็ต (Social Network) และราคาที่ลดลงของโทรศัพท์แบบ Smartphone ในช่วงปี 2558-2560 สมมติฐานพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้จากการให้บริการของบริษัทจะเติบโตโดยเฉลี่ย 8% ต่อปี โดยการเติบโตที่แข็งแกร่งในบริการด้านข้อมูลจะสามารถชดเชยการลดลงของรายได้จากบริการด้านเสียงและจะช่วยรักษาการเติบโตของรายได้ให้แก่บริษัท บริษัทมีอัตราส่วนกำไร (อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้) ที่ปรับปรุงรายการเช่าดำเนินงานแล้วที่ 15.3% ในปี 2557 ปรับตัวดีขึ้นจาก 3.2% ในปี 2556 เนื่องจากรายได้ที่เติบโตของบริษัท ประกอบกับบริษัทมีต้นทุนจากส่วนแบ่งรายได้ (Regulatory Cost) ที่ลดลงหลังจากลูกค้าส่วนใหญ่ย้ายมาอยู่บนโครงข่าย 3จี และ 4จี ในช่วงปี 2558-2560 คาดว่าอัตราส่วนกำไรของบริษัทจะปรับตัวดีขึ้นไปอยู่ในระดับ 18% ซึ่งสะท้อนการประหยัดต้นทุนจากฐานลูกค้าบนโครงข่าย 3จี และ 4จี และความคาดหวังว่าค่าใช้จ่ายทางการตลาดของบริษัทจะอยู่ในสัดส่วนที่เหมาะสมยิ่งขึ้น
สถานะทางการเงินของบริษัทแข็งแกร่งขึ้นจากการเพิ่มทุนจากบริษัททรู คอร์ปอเรชั่น โดยในเดือนกันยายน 2557 บริษัททรู คอร์ปอเรชั่นได้รับเงินจำนวน 65,000 ล้านบาทจากการขายหุ้นเพิ่มทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมและ China Mobile International Holdings Ltd. (China Mobile) ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นเชิงกลยุทธ์รายใหม่ที่ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่มีฐานลูกค้าใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งภายหลังจากการเพิ่มทุน สัดส่วนการถือหุ้นของบริษัททรู คอร์ปอเรชั่นโดยเครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP) อยู่ที่ 51% ในขณะที่ China Mobile มีสัดส่วนการถือหุ้นอยู่ที่ 18% บริษัททรู คอร์ปอเรชั่นได้เพิ่มทุนในบริษัทจำนวน 38,600 ล้านบาทในปี 2557 และบริษัทได้นำเงินไปชำระคืนหนี้ระยะยาวจำนวน 31,137.4 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ภาระผูกพันในระยะยาวของบริษัทที่มีกับกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund--IFF) นั้นถูกพิจารณาให้เป็นภาระหนี้สิน อันเป็นผลให้อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทลดลงจากระดับ 70% ในปี 2556 มาอยู่ที่ 40.7% ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2558 คาดว่าบริษัทจะมีค่าใช้จ่ายฝ่ายทุนในช่วงปี 2558-2560 โดยรวมประมาณ 50,000 ล้านบาท ภาระหนี้ของบริษัทน่าจะเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับการขยายโครงข่าย แต่ด้วยสถานะทางการเงินที่ปรับตัวดีขึ้นหลังการเพิ่มทุน บริษัทจึงยังสามารถก่อหนี้เพิ่มเพื่อรองรับการลงทุนในอนาคตได้อีก เมื่อพิจารณาจากผลการดำเนินงานที่ปรับตัวดีขึ้นแล้ว บริษัทมีแผนการจ่ายเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้นโดยจะเริ่มในปี 2559 ทั้งนี้ การพิจารณาอันดับเครดิตได้รวมค่าใช้จ่ายฝ่ายทุนที่วางแผนไว้และการจ่ายเงินปันผลในระดับที่คาดว่าจะทำให้อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทอยู่ในระดับไม่เกิน 50% เอาไว้ด้วยแล้ว
เงินทุนจากการดำเนินงานของบริษัทมีความผันผวนในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาเนื่องจากบริษัทมีค่าใช้จ่ายทางการตลาดและค่าใช้จ่ายในการบริหารโครงข่ายที่สูง ทริสเรทติ้งคาดว่าเงินทุนจากการดำเนินงานของบริษัทในช่วงปี 2558-2560 จะอยู่ในช่วง 10,000-15,000 ล้านบาทต่อปี โดยอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมจะอยู่ที่ระดับประมาณ 30%
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com ติดต่อ santaya@trisrating.com โทร. 0-2231-3011 ต่อ 500 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500 บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2558 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่เพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยมิได้รับอนุญาต การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html