ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท น้ำตาลบุรีรัมย์ จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “BBB-” ด้วยแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงประสบการณ์ที่ยาวนานในธุรกิจอ้อยและน้ำตาล ตลอดจนผลผลิตน้ำตาลต่อตันอ้อยที่อยู่ระดับสูงของบริษัท ระบบแบ่งปันผลประโยชน์ของอุตสาหกรรมน้ำตาลในประเทศไทย และการขยายกิจการไปสู่ธุรกิจไฟฟ้า ซึ่งเพิ่มกระแสเงินสดที่มั่นคงให้แก่บริษัท อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากขนาดการผลิตน้ำตาลที่ค่อนข้างขนาดเล็กและการมีโรงงานน้ำตาลเพียงแห่งเดียว นอกจากนี้ การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงความเสี่ยงจากสถานการณ์ราคาน้ำตาลที่อยู่ในระดับต่ำ ตลอดจนความผันผวนของปริมาณผลผลิตอ้อยด้วย
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะสามารถรักษาส่วนแบ่งตลาดในอุตสาหกรรมน้ำตาลในประเทศไว้ได้ ระบบแบ่งปันผลประโยชน์ในอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลในประเทศไทย ตลอดจนการเติบโตของรายได้จากธุรกิจไฟฟ้าจะช่วยรองรับการดำเนินงานในช่วงวงจรขาลงของธุรกิจน้ำตาลไว้บางส่วน นอกจากนี้ คาดว่าบริษัทจะสามารถบริหารจัดการอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทให้อยู่ในระดับต่ำกว่า 60% ในช่วงขยายการลงทุนไว้ได้
อันดับเครดิตมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นได้ หากบริษัทมีกระแสเงินสดคงที่มั่นคงเพิ่มขึ้นจากธุรกิจไฟฟ้า ซึ่งจะช่วยลดผลกระทบจากความผันผวนของราคาน้ำตาล การปรับลดอันดับเครดิตสามารถเกิดขึ้นได้ในกรณีที่ราคาน้ำตาลตกต่ำอย่างต่อเนื่องจนส่งผลให้อัตรากำไรจากการดำเนินงานของบริษัทลดลงเป็นระยะเวลานาน นอกจากนี้ การลงทุนจำนวนมากก็เป็นปัจจัยลบต่ออันดับเครดิตของบริษัทด้วยเช่นกัน
บริษัทน้ำตาลบุรีรัมย์เป็นหนึ่งในผู้ผลิตน้ำตาลในประเทศไทย บริษัทก่อตั้งในปี 2506 โดยกลุ่มตระกูลตั้งตรงเวชกิจและจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในเดือนพฤศจิกายน 2557 ณ เดือนมีนาคม 2558 ตระกูลตั้งตรงเวชกิจถือหุ้นในสัดส่วน 74.3% ของหุ้นทั้งหมดของบริษัท บริษัทเป็นเจ้าของและบริหารโรงงานน้ำตาล 1 แห่งในจังหวัดบุรีรัมย์ โดยมีกำลังการหีบอ้อยรวมเท่ากับ 17,000 ตันอ้อยต่อวัน ในปีการผลิต 2557/2558 บริษัท สามารถหีบอ้อยได้ 1.95 ล้านตันอ้อย และผลิตน้ำตาลได้ 230,379 ตัน ในปีการผลิต 2557/2558 บริษัทมีส่วนแบ่งทางการตลาด 2% หากพิจารณาจากผลผลิตน้ำตาล ผลผลิตน้ำตาลต่อตันอ้อยของบริษัทอยู่ในระดับสูง โดยในปีการผลิต 2557/2558 บริษัทสามารถผลิตน้ำตาลสูงถึง 118.07 กิโลกรัม (กก.) ต่อตันอ้อย ซึ่งมากกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมน้ำตาลในประเทศไทยที่ 106.65 กก. ต่อตันอ้อย และสูงเป็นอันดับ 3 จากโรงงานน้ำตาล 50 โรงทั่วประเทศ
บริษัทผลิตน้ำตาลทราย 2 ประเภท คือ น้ำตาลทรายขาวสีรำเพื่อจำหน่ายแก่ลูกค้าภายในประเทศ และน้ำตาลทรายดิบเพื่อการส่งออก นอกจากธุรกิจน้ำตาลแล้ว บริษัทยังได้ขยายการลงทุนไปยังธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจน้ำตาลเพื่อใช้ประโยชน์สูงสุดจากอ้อยด้วย เช่น ธุรกิจผลิตกระแสไฟฟ้าและปุ๋ย โดยบริษัทจำหน่ายกระแสไฟฟ้าจำนวน 16 เมกะวัตต์ ให้แก่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ภายใต้สัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวในโครงการผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมาก (Very Small Power Producer - VSPP) โรงไฟฟ้าแห่งแรกขนาด 8 เมกะวัตต์และโรงงานปุ๋ยของบริษัทได้เริ่มเปิดดำเนินการในปี 2555 สัดส่วนรายได้ของธุรกิจไฟฟ้าและปุ๋ยคิดเป็น 8%-12% ของรายได้รวมทั้งหมดในช่วงปี 2555-2557 และคาดว่าสัดส่วนรายได้ของบริษัทจะเพิ่มขึ้นอีกหลังจากที่โรงไฟฟ้าแห่งที่ 2 ของบริษัทเริ่มเปิดดำเนินการในเดือนเมษายน 2558
ผลการดำเนินงานของบริษัทขึ้นไปสูงสุดในปี 2554 และได้ปรับตัวลงในช่วงปี 2555-2557 เช่นเดียวกับโรงงานน้ำตาลทุกแห่งเนื่องจากราคาน้ำตาลที่อ่อนแอ แม้ว่าราคาน้ำตาลปรับตัวลดลง แต่รายได้รวมของบริษัทยังคงเติบโตมาอยู่ที่ระดับ 3,920 ล้านบาท ในปี2558 คิดเป็นอัตราการเติบโตที่ 4.7% ต่อปี ในช่วงปี 2554-2557 การเติบโตของรายได้รวมมาจากการเพิ่มขึ้นของปริมาณการจำหน่ายน้ำตาล โดยปริมาณการจำหน่ายน้ำตาลของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 174,195 ตัน ในปี 2554 เป็น 209,226 ตัน ในปี 2557 ปริมาณน้ำตาลที่เพิ่มขึ้นเป็นผลจากการที่บริษัทประสบความสำเร็จในการสนับสนุนชาวไร่อ้อยให้เพิ่มผลผลิตอ้อยต่อไร่และบริษัทสามารถผลิตน้ำตาลต่อตันอ้อยได้มากขึ้น นอกจากนี้ การเปิดดำเนินการของโรงไฟฟ้าแห่งแรกและโรงงานปุ๋ยยังเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ช่วยเพิ่มการเติบโตของรายได้ของบริษัท อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้จากการขายของบริษัทอยู่ในระดับปานกลางที่ 10.1%-13.1% ในช่วงปี 2555-2557 ซึ่งใกล้เคียงกับโรงงานน้ำตาลขนาดเล็กอื่น ๆ แต่ต่ำกว่าโรงงานน้ำตาลขนาดใหญ่ที่อยู่ในระดับ 15%-20% ราคาน้ำตาลที่ปรับตัวลดลงเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ความสามารถในการทำกำไรของโรงงานน้ำตาลลดลงในช่วงปี 2555-2557 อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้จากการขายของบริษัทลดลงมาอยู่ที่ 10.1%-13.1% ในช่วงปี 2555-2557 จากระดับสูงสุดที่ 18.3% ในปี 2554 อย่างไรก็ตาม ระบบแบ่งปันผลประโยชน์และความสามารถในการหีบอ้อยของบริษัทที่เพิ่มขึ้นช่วยลดผลกระทบต่ออัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานลงได้บางส่วน โดยในปี 2557 แม้ว่าราคาขายเฉลี่ยของบริษัทลดลง 7% จากปี 2556 แต่อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้จากการขายยังเพิ่มขึ้นเป็น 12.1% ในปี 2557 จาก 10.1% ในปี 2556 การเพิ่มขึ้นของปริมาณอ้อยเข้าหีบและต้นทุนอ้อยต่อหน่วยที่ลดลงตามระบบแบ่งปันผลประโยชน์ ส่งผลทำให้ต้นทุนการผลิตของบริษัทลดลง นอกจากนี้ การเพิ่มขึ้นของรายได้จากธุรกิจไฟฟ้าเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ช่วยเพิ่มกำไรของบริษัท ส่งผลให้กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) เพิ่มขึ้นเป็น 487 ล้านบาทในปี 2557 จาก 433 ล้านบาท ในปี 2556
โครงสร้างหนี้ของบริษัทอยู่ในระดับค่อนข้างสูง อย่างไรก็ตาม โครงสร้างเงินทุนของบริษัทปรับตัวดีขึ้นหลังจากได้รับเงินเพิ่มทุนจากการระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ในช่วงปลายปี 2557 อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนปรับตัวดีขึ้นจาก 79.7% ในปี 2555 มาอยู่ที่ระดับ 58.8% ในปี 2557 อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมของบริษัทลดลงเป็น 11.95% ในปี 2557 จาก 21.15% ในปี 2555 เนื่องจากราคาน้ำตาลที่ปรับตัวลดลงและเงินกู้ที่เพิ่มขึ้นจากการลงทุน อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายของบริษัทลดลงเช่นกันโดยลดลงเป็น 4.2 เท่าในปี 2557 จาก 6.0 เท่าในปี 2554
ในช่วงปี 2558-2560 บริษัทมีแผนลงทุนประมาณ 1,500 ล้านบาท โดยการลงทุนส่วนใหญ่เพื่อขยายกำลังการหีบอ้อยและสร้างโรงไฟฟ้าแห่งที่ 3 ทั้งนี้ จากแผนการลงทุนของบริษัทและ EBITDA ของบริษัทที่คาดว่าจะอยู่ระดับประมาณ 450-550 ล้านบาทต่อปี คาดว่าอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทจะยังอยู่ระดับสูงต่อเนื่องในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า
อุตสาหกรรมน้ำตาลยังคงได้รับแรงกดดันจากสถานการณ์ราคาน้ำตาลที่อยู่ในระดับต่ำ ราคาน้ำตาลทรายดิบในตลาดโลกยังคงลดลงอย่างต่อเนื่องในปี 2558 โดยลดลง 12% มาอยู่ที่ระดับ 14.37 เซนต์ต่อปอนด์ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2558 เมื่อเทียบกับราคาเฉลี่ยที่ 16.34 เซนต์ต่อปอนด์ในปี 2557 สต็อกน้ำตาลคงค้างจำนวนมากในตลาดโลกยังคงกดดันราคาน้ำตาลให้ปรับตัวลดลง นอกจากนี้ การที่ค่าเงินเรียลของบราซิลต่อดอลลาร์สหรัฐปรับตัวอ่อนค่าลงก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญหนึ่งที่ทำให้ราคาน้ำตาลลดลงเช่นกัน เนื่องจากประเทศบราซิลเป็นผู้ส่งออกน้ำตาลรายใหญ่ที่สุดของโลก
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com ติดต่อ santaya@trisrating.com โทร. 0-2231-3011 ต่อ 500 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500 บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2558 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่เพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยมิได้รับอนุญาต การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html