ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของ บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “BBB+” พร้อมทั้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 17,000 ล้านบาทของบริษัทที่ระดับ “BBB+” โดยแนวโน้มยังคง “Stable” หรือ “คงที่” ทั้งนี้ บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่จำนวนประมาณ 14,000 ล้านบาทไปใช้ไถ่ถอนเงินกู้ยืมของบริษัท ส่วนที่เหลือจะใช้สำหรับเงินทุนหมุนเวียนและการลงทุนต่าง ๆ
อันดับเครดิตสะท้อนถึงความสามารถในการแข่งขันที่แข็งแกร่งของบริษัทในอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ภายในประเทศ ตลอดจนการเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ในผลิตภัณฑ์เม็ดพลาสติก LDPE homopolymer (LDPE) และ LDPE copolymer (EVA) นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงการที่บริษัทมีสินค้าและผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายและมีภาระหนี้ที่อยู่ในระดับปานกลางด้วย อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากลักษณะที่เป็นวงจรขึ้นลงของอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้างและอุตสาหกรรมปิโตรเคมี รวมถึงความเสี่ยงจากต้นทุนราคาถ่านหินที่ผันผวน ประวัติการระดมทุนผ่านตลาดเงินที่ค่อนข้างสั้นของบริษัทหลังออกจากแผนฟื้นฟูกิจการ และภาระหนี้ที่คาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้นจากแผนการลงทุนที่เพิ่มขึ้น
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าบริษัทจะสามารถรักษาสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งในธุรกิจปูนซีเมนต์เอาไว้ได้และผลประกอบการของธุรกิจเม็ดพลาสติกจะค่อย ๆ ฟื้นตัว ในขณะที่ธุรกิจพลังงานไฟฟ้าจะช่วยเพิ่มความสามารถในการทำกำไรและเพิ่มฐานกระแสเงินสดโดยรวม อีกทั้งจะช่วยลดทอนความผันผวนจากธุรกิจพลาสติกได้ ผลประกอบการของธุรกิจปูนซีเมนต์น่าจะได้ประโยชน์จากต้นทุนพลังงานที่ลดลงและจากโครงการโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ของภาครัฐ นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าความสัมพันธ์ของบริษัทกับสถาบันการเงินต่าง ๆ จะปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทน่าจะอยู่ในระดับต่ำกว่า 40% ในช่วง 2 ถึง 3 ปีข้างหน้า
อันดับเครดิตหรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจถูกปรับลดลงหากอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและเกินกว่า 40% หรือ อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมอยู่ในระดับต่ำกว่า 5% เป็นระยะเวลานาน เหตุการณ์ เช่น การล่าช้าของโครงการภาครัฐ หรือ ผลการดำเนินงานของธุรกิจโรงไฟฟ้านั้นต่ำกว่าคาด ก็อาจจะส่งผลกระทบในแง่ลบต่อผลประกอบการของบริษัทรวมถึงอันดับเครดิตของบริษ้ทด้วยเช่นกัน
ในทางกลับกัน อันดับเครดิตหรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจถูกปรับเพิ่มขึ้นหากบริษัทประสบความสำเร็จในการดำเนินงานจากโครงการต่าง ๆ ของบริษัท และสถานะการเงินที่มีความเข้มแข็งมากขึ้น จากการสร้างกระแสเงินสดที่แข็งแกร่ง และภาระหนี้สินที่ลดลง โดยสามารถเห็นได้จากอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมคงอยู่ที่ประมาณ 15% ในขณะที่เงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนคงอยู่ในระดับต่ำกว่า 30%
บริษัททีพีไอ โพลีน ก่อตั้งในปี 2530 โดยตระกูลเลี่ยวไพรัตน์ ณ เดือนมีนาคม 2558 ตระกูลเลี่ยวไพรัตน์มีสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทคิดเป็นประมาณ 56% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด บริษัทดำเนินธุรกิจ 2 ประเภทหลัก ได้แก่ ธุรกิจผลิตปูนซีเมนต์ (ผลิตภัณฑ์ปูนซีเมนต์และคอนกรีต) และธุรกิจผลิตเม็ดพลาสติก (LDPE และ EVA) บริษัทมีรายได้ในปี 2557 อยู่ที่ 3.01 หมื่นล้านบาท โดยรายได้จากธุรกิจปูนซีเมนต์คิดเป็น 68% ของรายได้รวม ส่วนรายได้จากธุรกิจเม็ดพลาสติกคิดเป็น 26%
สถานะทางธุรกิจของบริษัทอยู่ในระดับปานกลาง บริษัทเป็นผู้ผลิตปูนซีเมนต์รายใหญ่อันดับ 3 ของประเทศ โดยมีกำลังผลิตที่ 9 ล้านตันต่อปี และมีส่วนแบ่งทางการตลาดในช่วงหลายปีที่ผ่านมาอยู่ที่ประมาณ 18% โรงงานผลิตปูนซีเมนต์แห่งที่ 4 ของบริษัทซึ่งมีกำลังการผลิตที่ 4.5 ล้านตันนั้นคาดว่าจะเริ่มดำเนินงานได้ในระหว่างไตรมาสที่สี่ของปี 2558 หรือต้นปี 2559 บริษัทมีสายการผลิตปูนซีเมนต์ที่ครบวงจรตั้งแต่การผลิตปูนเม็ด ปูนซีเมนต์ ปูนสำเร็จรูป คอนกรีต กระเบื้องหลังคาคอนกรีต และไฟเบอร์ซีเมนต์ โดยความต่อเนื่องในสายการผลิตปูนซีเมนต์ทำให้บริษัทได้รับประโยชน์จากการประหยัดต่อขนาดและมีโครงสร้างต้นทุนที่สามารถแข่งขันได้ในตลาด
ทริสเรทติ้งมองว่าโครงการขยายโรงงานผลิตปูนซีเมนต์เป็นโครงการที่มีความเสี่ยงด้านการตลาดต่อบริษัทในระยะปานกลาง ถ้าหากความต้องการปูนซีเมนต์ในประเทศยังคงซบเซา กำลังการผลิตของปูนซีเมนต์ที่เพิ่มขึ้นเป็น 13.5 ล้านตันต่อปี อาจทำให้สถานการณ์ตลาดที่มีสินค้าเกินความต้องการนั้นแย่ลงและก่อให้เกิดการแข่งขันด้านราคาขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงดังกล่าวบรรเทาลงบางส่วนด้วยตำแหน่งทางการตลาดที่แข็งแกร่งของบริษัทและการเร่งอนุมัติการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาลซึ่งน่าจะช่วยกระตุ้นการใช้ปูนซีเมนต์ในประเทศให้เพิ่มขึ้นได้
บริษัทเป็นผู้ผลิตเม็ดพลาสติก LDPE และ EVA รายใหญ่ของประเทศด้วยกำลังการผลิตที่ 158,000 ตันต่อปี ในปี 2557 บริษัทมีสัดส่วนทางการตลาดในประเทศสำหรับผลิตภัณฑ์ LDPE อยู่ที่ 20% และปัจจุบันเป็นผู้ผลิต EVA รายเดียวในประเทศ บริษัทเน้นการผลิต EVA เพื่อส่งออกเป็นหลัก ธุรกิจเม็ดพลาสติกของบริษัทมีความเสี่ยงจากการที่บริษัทซื้อวัตถุดิบ Ethylene จากผู้จำหน่ายเพียงรายเดียว อีกทั้งยังมีความเสี่ยงจากราคาที่ผันผวนของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี ตลอดจนความท้าทายจากสินค้าทดแทน การเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยี และการแข่งขันจากผู้ผลิตทั่วโลกด้วยเช่นกัน อันดับเครดิตของบริษัทสะท้อนถึงประโยชน์จากการประกอบธุรกิจที่หลากหลาย โดยรายได้จากธุรกิจปูนซีเมนต์ที่อาจผันผวนตามภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศจะได้รับการถ่วงดุลโดยรายได้จากการส่งออกผลิตภัณฑ์ EVA
อันดับเครดิตของบริษัทมีข้อจำกัดบางส่วนจากประวัติการระดมทุนผ่านตลาดเงินที่ค่อนข้างสั้นหลังจากที่บริษัทออกจากกระบวนการฟื้นฟูกิจการ ทั้งนี้ ประวัติการผิดนัดชำระหนี้และการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของบริษัทในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจของประเทศในอดีตทำให้มีความจำเป็นที่จะต้องมีการประเมินความเสี่ยงด้านเครดิตของบริษัทอย่างระมัดระวังด้วยเช่นกัน
สถานะทางการเงินของบริษัทอ่อนแอลงหลังช่วงกลางปี 2557 เนื่องจากความต้องการของวัสดุก่อสร้างภายในประเทศที่ลดลงและการขาดทุนของมูลค่าสินค้าในธุรกิจพลาสติก ทั้งนี้ รายได้ของบริษัทลดลงประมาณ 10% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยอยู่ที่ 7.1 พันล้านบาทในไตรมาสแรกของปี 2558 อัตราส่วนกำไร (อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสี่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้) ซึ่งไม่รวมกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนลดลงเหลือ 7.5% เมื่อเปรียบเทียบกับ 8.8% ในปี 2557 อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนในไตรมาสแรกของปี 2558 เพิ่มขึ้นเป็น 34.5% จากการลงทุนอย่างต่อเนื่องของบริษัท หนี้สินที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วส่งผลให้สภาพคล่องของบริษัทอ่อนแอลงดังเห็นได้จากอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวม (หลังปรับเป็นอัตราส่วนเต็มปีด้วยตัวเลข 12 เดือนย้อนหลัง) ซึ่งลดลงสู่ระดับต่ำที่ 5.2%
โครงการลงทุนของบริษัทซึ่งประกอบด้วยโรงงานผลิตปูนซีเมนต์แห่งที่ 4 ธุรกิจโรงไฟฟ้า ผลิตภัณฑ์ไฟเบอร์ซีเมนต์ ผลิตภัณฑ์อิฐมวลเบา และโรงผลิตปูนสำเร็จรูปคาดว่าจะทยอยเริ่มเปิดดำเนินงานได้ในปี 2558 เป็นต้นไป ค่าใช้จ่ายฝ่ายทุนของบริษัทคาดว่าจะยังเหลืออีกประมาณ 6-7 พันล้านบาทระหว่างปี 2558-2559 ซึ่งรวมถึงการลงทุนโรงไฟฟ้ากำลังการผลิต 70 เมกะวัตต์แห่งใหม่ที่มีมูลค่าประมาณ 3.3 พันล้านบาทด้วย โดยโรงไฟฟ้าดังกล่าวคาดว่าจะเริ่มการผลิตได้ในช่วงต้นปี 2560
ประมาณการของทริสเรทติ้งในกรณีฐานคาดว่ารายได้ของบริษัทจะเติบโตถึง 10%-20% ต่อปีในช่วง 2 ถึง 3 ปีข้างหน้า และจะอยู่ที่ประมาณ 4.0-4.3 หมื่นล้านบาทหลังจากทุกโครงการเริ่มดำเนินงานอย่างเต็มที่ ความสามารถในการทำกำไรและการสร้างเงินทุนจากการดำเนินงานคาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นและมีความมั่นคงมากขึ้นเมื่อโครงการโรงไฟฟ้าแห่งใหม่รวมเข้ากับธุรกิจที่มีอยู่ในปัจจุบัน อัตราส่วนกำไรคาดว่าจะอยู่ในช่วง 13%-16% บริษัทจะยังมีการลงทุนขนาดใหญ่อย่างต่อเนื่องจนกระทั่งถึงปี 2559 ซึ่งส่งผลให้อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนน่าจะสูงขึ้นจนแตะระดับ 40%-42% ภายในปีดังกล่าว ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะคอยควบคุมระดับค่าใช้จ่ายฝ่ายทุนและพยายามไม่เพิ่มอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนให้สูงกว่าระดับดังกล่าวเพื่อให้สอดคล้องกับอันดับเครดิตที่ระดับ “BBB+” ทริสเรทติ้งยังคาดด้วยว่าเงินทุนจากการดำเนินงานของบริษัทจะเพิ่มขึ้นเป็น 4-5 พันล้านต่อปี และอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมจะปรับตัวดีขึ้นและมีสัดส่วนมากกว่า 15% ในระหว่างปี 2559-2560
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com ติดต่อ santaya@trisrating.com โทร. 0-2231-3011 ต่อ 500 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500 บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2558 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่เพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยมิได้รับอนุญาต การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html