ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของบริษัท อาปิโก ไฮเทค จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “BBB+” ด้วยแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” ทั้งนี้ อันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งในการเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ลำดับที่ 1 ในประเทศไทย รวมถึงการมีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่หลายราย อุปสรรคในการเข้าสู่ตลาดผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ลำดับที่ 1 ที่มีค่อนข้างสูง และปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งของประเทศไทยซึ่งเอื้อต่ออุตสาหกรรมรถยนต์ อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งดังกล่าวถูกลดทอนลงบางส่วนจากผลกำไรที่อยู่ในระดับค่อนข้างต่ำของการผลิตชิ้นส่วนรถยนต์แบบปั๊มขึ้นรูปและธุรกิจตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ ตลอดจนความเสี่ยงจากการกระจุกตัวของลูกค้าซึ่งเป็นลักษณะโดยทั่วไปของอุตสาหกรรมเนื่องจากผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ในประเทศไทยมีจำนวนไม่มาก รวมถึงลักษณะที่เป็นวงจรขึ้นลงของอุตสาหกรรมรถยนต์
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าบริษัทจะยังคงรักษาตำแหน่งทางการตลาดที่แข็งแกร่งในธุรกิจหลักเอาไว้ได้ อีกทั้งสะท้อนความคาดหมายของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะสามารถรักษาความแข็งแกร่งทางการเงินเอาไว้ได้ด้วย ถึงแม้ว่าความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจะด้อยลง แต่ระดับหนี้สินที่ต่ำก็คาดว่าจะช่วยเสริมสภาพคล่องให้แก่บริษัทโดยที่อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมควรอยู่ในระดับที่สูงกว่า 20% ต่อไปในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า
อันดับเครดิต และ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจถูกปรับลดลงหากความสามารถในการทำกำไรหรือโครงสร้างทางการเงินของบริษัทลดลงอย่างมีนัยสำคัญจากระดับปัจจุบัน ซึ่งอาจเห็นได้จากอัตรากำไรที่ลดลงต่ำกว่า 5% หรืออัตราส่วนเงินกู้ร่วมต่อส่วนทุนสูงเกินกว่า 50% เป็นระยะเวลานาน
อันดับเครดิต และ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจถูกปรับขึ้นหากความสามารถในการทำกำไรของบริษัทปรับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากการขยายธุรกิจไปสู่สินค้าที่มีอัตรากำไรสูงขึ้น โดยอาจพิจารณาได้จากอัตรากำไรที่เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 15% เป็นระยะเวลานาน
บริษัทอาปิโก ไฮเทค เป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์รายใหญ่ในประเทศไทย โดยบริษัทก่อตั้งในปี 2539 และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2545 ณ เดือนมีนาคม 2558 ผู้ถือหุ้นหลักของบริษัท 2 ราย ได้แก่ ตระกูลเย็บ (Yeap) และโซจิทสึ คอร์ปอเรชั่น (Sojitz Corporation -- Sojitz) โดยมีสัดส่วนการถือหุ้น 39.8% และ 15.8% ตามลำดับ
สถานะทางธุรกิจของบริษัทค่อนข้างแข็งแกร่ง โดยบริษัทดำเนินธุรกิจหลัก 2 ประเภท ได้แก่ ธุรกิจการผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ (Original Equipment Manufacturer -- OEM) และธุรกิจตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ โดยชิ้นส่วนรถยนต์หลักที่บริษัทผลิต ได้แก่ โครงช่วงล่างรถกระบะ และชิ้นส่วนปั๊มขึ้นรูป ส่วนธุรกิจตัวแทนจำหน่ายรถยนต์นั้น บริษัทจำหน่ายรถยนต์ฟอร์ดและมิตซูบิชิในประเทศไทย และจำหน่ายรถยนต์ฮอนด้าในประเทศมาเลเซีย ในปี 2557 บริษัทมีรายได้โดยรวมอยู่ที่ 1.45 หมื่นล้านบาท โดยธุรกิจผลิตชิ้นส่วนรถยนต์สร้างรายได้ประมาณ 65% ของรายได้ทั้งหมด ส่วนที่เหลือมาจากธุรกิจตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ บริษัทมีการดำเนินธุรกิจทั้งในประเทศไทย จีน และมาเลเซีย โดยรายได้จากประเทศไทยมีสัดส่วนประมาณ 65%-70% ของรายได้ทั้งหมด ตามด้วยประเทศมาเลเซียประมาณ 15%-25% และประเทศจีนประมาณ 5% ของรายได้ทั้งหมด
บริษัทเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ให้แก่ผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำหลายแห่งในประเทศไทย เช่น อีซูซุ ออโต้อัลลายแอนซ์ (บริษัทร่วมลงทุนระหว่างบริษัทฟอร์ดและบริษัทมาสด้า) ฟอร์ด นิสสัน โตโยต้า ฮอนด้า เจนเนอรัล มอเตอร์ และ มิตซูบิชิ สถานะการเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ลำดับที่ 1 ของบริษัทได้รับการปกป้องจากการมีอุปสรรคสูงในการเข้าสู่ตลาด เช่น การลงทุนที่สูงและต่อเนื่อง การมีประวัติการดำเนินงานที่ดี และการพัฒนาประสิทธิภาพการผลิตที่ต่อเนื่องซึ่งมาจากความต้องการของผู้ผลิตรถยนต์ ลูกค้ารายใหญ่ของบริษัทได้แก่ บริษัท อีซูซุ มอเตอร์ (ประเทศไทย) ซึ่งบริษัทเป็นผู้ผลิตโครงช่วงล่างให้แก่รถกระบะอีซูซุมาตั้งแต่ปี 2546 โดยบริษัทมีรายได้จากบริษัทอีซูซุ มอเตอร์ (ประเทศไทย) คิดเป็นประมาณ 30% ของรายได้ทั้งหมด ส่วนลูกค้าหลักรายอื่น ๆ ได้แก่ บริษัท ออโต้อัลลายแอนซ์ (ประเทศไทย) และ บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) ซึ่งมีสัดส่วนประมาณ 9% และ 5% ของรายได้ทั้งหมดของบริษัทตามลำดับ ทั้งนี้ ยอดการผลิตรถยนต์รวมเฉพาะของอีซูซุ ฟอร์ด มาสด้า และนิสสันนั้นครอบคลุมส่วนแบ่งทางการตลาดประมาณ 30% ของยอดการผลิตรถยนต์ในประเทศไทย ส่วนแบ่งทางการตลาดที่มีขนาดใหญ่ของลูกค้าเหล่านี้ส่งผลให้บริษัทสามารถเติบโตได้อย่างสอดคล้องกับอุปสงค์ของรถยนต์ในประเทศไทยและในต่างประเทศ
อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งของบริษัทถูกลดทอนบางส่วนจากการมีอัตรากำไรที่ต่ำจากการผลิตชิ้นส่วนรถยนต์แบบปั๊มขึ้นรูปและจากธุรกิจตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ รวมถึงความเสี่ยงจากการกระจุกตัวของลูกค้าเนื่องจากการพึ่งพิงลูกค้ารายใหญ่จำนวนน้อยราย
ในไตรมาสแรกของปี 2558 รายได้โดยรวมของบริษัทเพิ่มขึ้น 1.8% จากปีก่อนหน้าเป็น 3,758 ล้านบาทเนื่องจากการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทยและการเติบโตของรายได้ของธุรกิจตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ในประเทศมาเลเซีย อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้ (อัตรากำไร) อยู่ที่ 7.6% ในไตรมาสแรกของปี 2558 ซึ่งลดลงเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยที่ 8.8% ในระหว่างปี 2553 และ 2557 อัตรากำไรที่ลดลงนั้นสะท้อนถึงการลดลงของอัตราการใช้กำลังการผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ OEM และสัดส่วนรายได้ที่เพิ่มขึ้นของธุรกิจตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ซึ่งมีกำไรค่อนข้างน้อย สถานะการเงินของบริษัทยังอยู่ในระดับที่น่าพึงพอใจจากความพยายามในการลดภาระหนี้สินและการลดต้นทุนต่าง ๆ อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนปรับตัวดีขึ้นโดยสัดส่วนลดลงจาก 40.2% ในปี 2557 มาอยู่ที่ 38.7% ในไตรมาสแรกของปี 2558 จากการประเมินของทริสเรทติ้ง อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมของบริษัทที่มากกว่า 20% นั้นถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้
ทริสเรทติ้งคาดว่าอุปสงค์ของรถยนต์จะฟื้นตัวอย่างช้า ๆ ในช่วงระหว่างปี 2559-2560 จากแนวโน้มที่ยังดีของการส่งออกยานยนต์และโครงการรถยนต์ประหยัดพลังงงาน (อีโคคาร์) ซึ่งคาดว่าจะเริ่มการผลิตในปี 2559-2560 ประมาณการพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้ของบริษัทจะเติบโตประมาณ 4%-5% ต่อปีในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า โดยอัตรากำไรน่าจะฟื้นกลับไปอยู่ในระดับค่าเฉลี่ยในอดีตที่ 8%-9% เนื่องจากรายได้จากธุรกิจผลิตชิ้นส่วนรถยนต์มีสัดส่วนที่สูงขึ้น ทริสเรทติ้งมองว่าอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทจะปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องเนื่องจากบริษัทจะยังไม่มีแผนการลงทุนขนาดใหญ่ ดังนั้น อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนจึงคาดว่าจะลดลงไปอยู่ที่ระดับ 30% และอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมน่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 30%-40% ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
สภาพคล่องของบริษัทยังมีเพียงพอ ทั้งนี้ เงินทุนจากการดำเนินงานของบริษัทสำหรับ 12 เดือนข้างหน้าคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 1,000 ล้านบาท อีกทั้งบริษัทยังมีวงเงินกู้ที่ยังไม่ได้เบิกใช้อีกจำนวนประมาณ 3,000 ล้านบาท ในขณะที่การใช้จ่ายเพื่อการลงทุนส่วนใหญ่ในช่วง 12 เดือนข้างหน้านั้นจะเป็นการใช้จ่ายส่วนทุนประมาณ 400 ล้านบาท รวมทั้งเป็นการจ่ายเงินปันผลอีกประมาณ 100 ล้านบาท และเป็นการชำระเงินกู้ยืมระยะยาวรวมอีก 1,200 ล้านบาท
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com ติดต่อ santaya@trisrating.com โทร. 0-2231-3011 ต่อ 500 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500 บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2558 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่เพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยมิได้รับอนุญาต การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html