ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันวงเงินไม่เกิน 700 ล้านบาท “บ. โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา” ที่ระดับ “A/Stable”

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday October 12, 2015 17:00 —ทริส เรตติ้ง

ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันในวงเงินไม่เกิน 700 ล้านบาทของ บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “A” ในขณะเดียวกันยังคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของบริษัทที่ระดับ “A” เช่นกัน โดยแนวโน้มยังคง “Stable” หรือ “คงที่” ทั้งนี้ บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปใช้ชำระคืนหนี้และสำรองเป็นเงินทุนหมุนเวียน โดยอันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนกระแสเงินสดที่เติบโตขึ้นจากธุรกิจโรงแรมและธุรกิจอาหาร รวมถึงสถานะที่แข็งแกร่งในธุรกิจอาหารบริการด่วน และการมีโรงแรมที่หลากหลาย ทั้งนี้ การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงการสนับสนุนจากกลุ่มเซ็นทรัลด้วย อย่างไรก็ตาม จุดเด่นดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากลักษณะของธุรกิจโรงแรมที่ขึ้นอยู่กับฤดูกาลและถูกกระทบได้ง่ายจากปัจจัยภายนอกต่าง ๆ ที่ไม่สามารถควบคุมได้ รวมทั้งจากลักษณะของธุรกิจอาหารบริการด่วนที่มีอัตรากำไรต่ำ ทั้งนี้ ธุรกิจทั้ง 2 ประเภทจัดว่ามีการแข่งขันที่รุนแรงเมื่อพิจารณาจากอุปสงค์ของจำนวนห้องพักในโรงแรมที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญและการทำการตลาดเชิงรุกในหมู่ผู้ประกอบการอาหารบริการด่วน

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าบริษัทจะสามารถรักษาสถานะในการแข่งขันที่แข็งแกร่งในธุรกิจหลักของบริษัทต่อไป ทั้งนี้ อันดับเครดิตของบริษัทอาจปรับเพิ่มขึ้นได้หากบริษัทสามารถเพิ่มจำนวนและความหลากหลายให้แก่ธุรกิจโรงแรมและร้านอาหารได้โดยที่ยังคงรักษาสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง ในทางตรงข้าม อันดับเครดิตอาจถูกปรับลดลงหากผลการดำเนินงานของบริษัทหดตัวลงเป็นเวลานาน หรือบริษัทมีการลงทุนที่มีการก่อหนี้จำนวนมาก

บริษัทโรงแรมเซ็นทรัลพลาซาก่อตั้งโดยตระกูลจิราธิวัฒน์ในปี 2523 โดยปัจจุบันตระกูล จิราธิวัฒน์ถือหุ้นบริษัทในสัดส่วน 63% บริษัทเป็นหนึ่งในผู้นำในธุรกิจโรงแรมและธุรกิจอาหารในประเทศไทย ทั้งนี้ ในปี 2557 บริษัทมีรายได้จากธุรกิจโรงแรมคิดเป็นสัดส่วน 45% ของรายได้รวมทั้งหมด ในขณะที่บริษัทมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายจากโรงแรมคิดเป็นสัดส่วน 74% ของกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายรวมทั้งหมด ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2558 บริษัทบริหารโรงแรม 41 แห่ง รวมจำนวนห้องพักทั้งสิ้น 7,805 ห้อง โดยโรงแรมทั้งหมดตั้งอยู่ในแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของไทยและในต่างประเทศ 4 ประเทศ ได้แก่ มัลดีฟส์ เวียดนาม ศรีลังกา และอินโดนีเซีย บริษัทบริหารงานโรงแรมภายใต้แบรนด์ “เซ็นทารา แกรนด์” “เซ็นทารา” และ “เซ็นทรา” และมีโรงแรมของตนเองทั้งสิ้น 15 แห่ง โดย 1 แห่งอยู่ภายใต้กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ทั้งนี้ โรงแรมที่บริษัทเป็นเจ้าของโดยตรงคิดเป็นสัดส่วน 49% ของจำนวนห้องทั้งหมด

บริษัทดำเนินธุรกิจอาหารบริการด่วนภายใต้การบริหารงานของบริษัทในเครือคือ บริษัท เซ็นทรัลเรสตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด โดยปัจจุบัน บริษัทเซ็นทรัลเรสตอรองส์ กรุ๊ป ให้บริการอาหารบริการด่วนจำนวน 12 แบรนด์ซึ่งประกอบด้วยร้านอาหารภายใต้แฟรนไชส์จากต่างประเทศจำนวน 10 แบรนด์และแบรนด์ของบริษัทเองจำนวน 2 แบรนด์ คือ “ริว ชาบู ชาบู” และ “เดอะ เทอเรส” โดย ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2558 บริษัทมีจำนวนสาขาร้านอาหารรวมทั้งหมด 774 แห่งทั่วประเทศ

ในปี 2557 อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทยได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งทางการเมืองที่ยืดเยื้อยาวนาน โดยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติลดลง 7% อยู่ที่ 24.78 ล้านคน อย่างไรก็ตาม หลังจากความตึงเครียดทางการเมืองได้ยุติลงจากการทำรัฐประหารในกลางปี 2557 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติก็ปรับฟื้นตัวอย่างมาก โดยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติปรับตัวเพิ่มขึ้น 7% ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2557 และ 29% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2558 เนื่องจากการมีแหล่งท่องเที่ยวที่มีคุณภาพสูงและความต้องการเดินทางท่องเที่ยวอย่างมากภายในภูมิภาคเอเชีย โดยจำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนเพิ่มขึ้น 108% สู่ระดับ 3.97 ล้านคนในช่วงครึ่งแรกของปี 2558 ในขณะเดียวกัน จำนวนนักท่องเที่ยวชาวยุโรปกลับปรับตัวลดลง 14% สู่ระดับ 2.82 ล้านคนเนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวชาวรัสเซียลดลงอย่างมาก ทั้งนี้ แนวโน้มอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทยยังอยู่ในระดับดีจากการมีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าดึงดูดใจและความต้องการเดินทางท่องเที่ยวของประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยท้าทายอีกมากที่อาจจำกัดการเติบโตของการท่องเที่ยวไทย เช่น การชะลอการเติบโตของเศรษฐกิจโลกและความสามารถขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการที่จะถนอมรักษาและคงสภาพทรัพยากรทางธรรมชาติให้น่าดึงดูดใจอย่างยั่งยืน

ในปี 2557 ความวุ่นวายทางการเมืองส่งผลกระทบต่อธุรกิจโรงแรมในกรุงเทพ และส่งผลให้อัตราการเข้าพักโรงแรมลดต่ำลงสู่ระดับ 74.8% ในปี 2557 จากระดับ 79.8% ในปี 2556 แต่รายได้ค่าห้องพักเฉลี่ยต่อจำนวนห้องทั้งหมดของบริษัทยังเพิ่มขึ้น 4.2% เนื่องจากราคาห้องพักของโรงแรมใหม่ในหมู่เกาะมัลดีฟส์มีราคาสูง อย่างไรก็ตาม ในปี 2557 รายได้จากธุรกิจโรงแรมคงที่เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาเนื่องจากการอ่อนตัวของการใช้จ่ายด้านอาหารภายในโรงแรม สำหรับช่วงครึ่งแรกของปี 2558 รายได้ค่าห้องพักเฉลี่ยต่อจำนวนห้องทั้งหมดของบริษัทยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในสัดส่วน 8.6% สู่ระดับ 4,079 บาทต่อคืนตามการฟื้นตัวของอัตราการเข้าพักโรงแรมที่เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 80.9% เมื่อเทียบกับระดับ 72.4% ของช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา

ในปี 2557 รายได้รวมของบริษัทเพิ่มขึ้น 5% สู่ระดับ 17,992 ล้านบาทจากรายได้ธุรกิจอาหารที่ปรับขึ้น 9% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2558 รายได้ของบริษัทเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง 8% สู่ระดับ 9,538 ล้านบาทจากการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งของธุรกิจโรงแรม อัตรากำไรจากการดำเนินงานของบริษัทลดลงจากระดับ 21.5% ในปี 2556 เป็น 20.7% ในปี 2557 เนื่องจากธุรกิจอาหารได้รับผลกระทบจากต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้นและการขาดทุนจากการปิดแบรนด์ร้านอาหาร ในช่วงครึ่งแรกของปี 2558 อัตรากำไรจากการดำเนินงานปรับเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 25.3% จากการปรับตัวที่ดีขึ้นของการดำเนินงานของโรงแรมในกรุงเทพฯ และการควบคุมต้นทุนในธุรกิจอาหาร

อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนปรับตัวดีขึ้นจากระดับ 55.8% ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2556 สู่ระดับ 49.1% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2558

สภาพคล่องของบริษัทอยู่ในระดับที่น่าพอใจ โดยเงินทุนจากการดำเนินงานของบริษัทเพิ่มสูงขึ้นจาก 2,938 ล้านบาทในปี 2556 เป็น 3,163 ล้านบาทในปี 2557 และอยู่ที่ระดับ 2,078 ล้านบาทในช่วงครึ่งแรกของปี 2558 อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมเพิ่มขึ้นจาก 21% ในปี 2556 เป็น 25.2% ในปี 2557 และที่ระดับ 32.7% (ปรับเป็นอัตราส่วนเต็มปีด้วยตัวเลข 12 เดือนย้อนหลัง) ในช่วงครึ่งแรกของปี 2558 ส่วนอัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายเพิ่มขึ้นจากระดับ 5.9 เท่าในปี 2556 เป็น 8 เท่าในช่วงครึ่งแรกของปี 2558 ในช่วง 12 เดือนข้างหน้าบริษัทมีภาระในการชำระหนี้ประมาณ 1,800 ล้านบาทและมีภาระหนี้ระยะสั้นจำนวน 748 ล้านบาท โดยสภาพคล่องของบริษัทจะมีเพียงพอสำหรับภาระหนี้ระยะสั้นและจะได้รับการสนับสนุนจากเงินสดในมือจำนวน 340 ล้านบาทรวมทั้งวงเงินสินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์ต่าง ๆ อีกประมาณ 2,000 ล้านบาท

ในช่วงปี 2558-2560 ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีรายได้เพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 6% ต่อปีจากการเพิ่มราคาห้องพักและจากอัตราการเข้าพักโรงแรมตามปกติที่ระดับ 78% นอกจากนี้ โดยอัตรากำไรจากการดำเนินงานคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 21%-22% ส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานจะปรับเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 3,500 ล้านบาท ในช่วง 3 ปีข้างหน้าบริษัทมีแผนจะใช้เงินลงทุนประมาณ 12,000 ล้านบาทเพื่อก่อสร้างโรงแรมแห่งใหม่และขยายจำนวนร้านอาหาร โดยบริษัทมีแผนจะขยายจำนวนร้านอาหารเพิ่มเป็น 1,200 ร้านภายในปี 2563 ดังนั้น คาดว่าอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทจะเพิ่มขึ้นแต่อยู่ในระดับไม่เกิน 55% ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมของบริษัทอยู่ที่ระดับเฉลี่ยประมาณ 25%

บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) (CENTEL)
อันดับเครดิตองค์กร: A
อันดับเครดิตตราสารหนี้:
CENTEL163A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2559 A
CENTEL163B: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 300 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2559 A
CENTEL169A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2559 A
หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันวงเงินไม่เกิน 700 ล้านบาท ไถ่ถอนภายในปี 2561 A
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ santaya@trisrating.com  โทร. 0-2231-3011 ต่อ 500 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2558 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ