ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “BBB” พร้อมทั้งยกเลิก “เครดิตพินิจ” (CreditAlert) แนวโน้ม “Developing” หรือ “ไม่แน่นอน” ของอันดับเครดิตดังกล่าวและเปลี่ยนเป็นแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” ทั้งนี้ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นของบริษัทคาดว่าจะยังไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงธุรกิจหลักของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงตราสัญลักษณ์สินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านของบริษัทที่รู้จักเป็นอย่างดีในกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ตลอดจนการมีเครือข่ายสาขาและตัวแทนจำหน่ายที่กว้างขวางทั่วประเทศ ประสบการณ์ที่ยาวนานในธุรกิจสินเชื่อเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน ฐานลูกค้าที่กระจายตัว คณะผู้บริหารที่มีประสบการณ์ และพนักงานขายที่ได้รับการอบรมเป็นอย่างดีและมีความใกล้ชิดกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย นอกจากนี้ บริษัทยังมีโอกาสที่จะพัฒนาความร่วมมือทางธุรกิจกับพันธมิตรใหม่คือ บริษัท เจมาร์ท จำกัด (มหาชน) และกลุ่มบริษัทสหพัฒนพิบูล (กลุ่มสหพัฒน์) อีกด้วย อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งดังกล่าวถูกลดทอนลงจากคุณภาพเครดิตของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายซึ่งมีความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของภาวะเศรษฐกิจ
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าผู้บริหารของบริษัทจะสามารถดำเนินกลยุทธ์ทางการตลาดและนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ได้อย่างต่อเนื่องเพื่อที่จะดำรงความมั่นคงของสถานะทางการตลาดของบริษัทเอาไว้ให้ได้ตามแผน อีกทั้งผลประกอบการทั้งในด้านการดำเนินธุรกิจและฐานะการเงินก็คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และคุณภาพสินเชื่อจะได้รับการควบคุมให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้
การปรับเพิ่มอันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจเป็นไปได้หากบริษัทมีผลประกอบการดีกว่าที่คาดและสถานะทางการเงินของบริษัทดีขึ้นจากการมีฐานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งหลังจากมีความร่วมมือทางธุรกิจกับบริษัท เจมาร์ท อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิต/และหรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจถูกปรับลดลงหากคุณภาพสินทรัพย์ของบริษัทลดลงไปมากกว่านี้ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความสามารถในการทำกำไรของบริษัท
เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2558 SINGER (THAILAND) B.V. ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นหลักของบริษัทซิงเกอร์ประเทศไทยได้ขายหุ้นที่ถืออยู่ทั้งหมดจำนวน 40% ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยซึ่งทำให้บริษัทเจมาร์ทมีสถานะเป็นผู้ถือหุ้นหลักรายใหม่ด้วยสัดส่วนหุ้น 24.99% ของบริษัท ตามด้วยกลุ่มสหพัฒน์ 7% และนักลงทุนอื่น ๆ อีก 8.01% บริษัทเจมาร์ทดำเนินธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งเครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่และสินค้าที่เกี่ยวข้องกับโทรศัพท์เคลื่อนที่ นอกจากนี้ บริษัทยังได้ขยายธุรกิจไปเป็นผู้ให้บริการติดตามเร่งรัดหนี้สินและบริหารหนี้ด้อยคุณภาพ รวมถึงธุรกิจบริหารพื้นที่เช่าด้วย ส่วนกลุ่มสหพัฒน์เป็นบริษัทตัวแทนจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคชั้นนำในประเทศไทย บริษัทคาดว่าจะได้รับประโยชน์จากความร่วมมือที่มีกับผู้ถือหุ้นรายใหญ่ทั้ง 2 รายดังกล่าว โดยในช่วงแรกนี้ บริษัทอาจจะมีรายได้อื่น ๆ จากการขายสินค้าผ่านเครือข่ายและสาขาของบริษัทอีกทางหนึ่ง
เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2555 บริษัทได้ดำเนินการปรับเปลี่ยนโครงสร้างกลุ่มโดยการขายลูกหนี้เช่าซื้อทั้งหมดให้แก่ บริษัท ซิงเกอร์ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกที่บริษัทถือหุ้นทั้งหมด ปัจจุบันบริษัทให้ความสำคัญในด้านธุรกิจการค้า (Trading) และกำลังขยายตลาดให้ครอบคลุมกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ โดยใช้ตราสินค้า “ซิงเกอร์” ซึ่งเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายควบคู่ไปกับเครือข่ายที่กว้างขวางด้วยจำนวนสาขา 214 แห่งและพนักงานขายประมาณ 3,500 คน ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2558 ในขณะที่บริษัทซิงเกอร์ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) จะเป็นผู้ให้บริการทางการเงินแก่ลูกค้าของบริษัทที่ซื้อสินค้าภายใต้ตราสินค้า “ซิงเกอร์”
ในปี 2553 บริษัทได้กลับมาให้ความสำคัญในการขายเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านซึ่งบริษัทมีประสบการณ์ที่ยาวนานโดยใช้กลยุทธ์ขยายตลาดให้ครอบคลุมกลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการขนาดเล็ก บริษัทยังเพิ่มและเน้นจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เป็นเครื่องมือสร้างรายได้ให้แก่ผู้ซื้อด้วย เช่น ตู้แช่ เครื่องเติมเงินสำหรับโทรศัพท์เคลื่อนที่ และตู้เติมน้ำมันหยอดเหรียญ ในเดือนมกราคม 2557 บริษัทได้ออกตราสัญลักษณ์ย่อย “SINGER Get Rich” เพื่อดึงดูดกลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการที่สนใจในสินค้ากลุ่มนี้ นอกจากนี้ ยังได้ขยายช่องทางการจัดจำหน่ายโดยการตั้งมุมสินค้าของบริษัทในห้างแมคโครอีกด้วย โดยรายได้จากผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์นี้คิดเป็น 55% ของยอดขายรวมในปี 2557 เพิ่มขึ้นจาก 41% ในปี 2555 และ 49% ในปี 2556 อย่างไรก็ตาม บริษัทได้ชะลอยอดขายผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์ที่มีมูลค่าสูงเนื่องจากสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ทำให้รายได้จากเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านคิดเป็น 62% ของยอดขายรวมในช่วงครึ่งแรกของปี 2558 เมื่อเทียบกับ 38% ของยอดขายผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์
บริษัทยังคงรักษาจำนวนบัญชีสินเชื่อคงค้างอย่างต่อเนื่องโดยมีจำนวนบัญชี 167,139 บัญชี ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2558 หรือเพิ่มขึ้น 0.6% จาก 166,123 บัญชีในปี 2557 ลูกค้าเป้าหมายกลุ่มใหม่ซึ่งเป็นผู้ประกอบการขนาดเล็กนี้จัดว่ามีคุณภาพสูงกว่ากลุ่มลูกค้าเป้าหมายกลุ่มดั้งเดิมของบริษัท นอกจากนี้ สินค้ากลุ่มใหม่ของบริษัทยังช่วยสร้างรายได้ให้แก่ลูกค้ากลุ่มใหม่นี้ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสามารถในการชำระหนี้ของลูกค้าและยกระดับคุณภาพสินเชื่อโดยรวมได้ด้วย อนึ่ง ความสำเร็จของกลยุทธ์ใหม่ที่จะช่วยให้บริษัทสร้างความมั่นคงให้แก่สถานะทางการตลาดและเพิ่มผลประกอบการยังต้องอาศัยเวลาในการพิสูจน์ต่อไป
ลูกหนี้เช่าซื้อของบริษัทขยายตัวอย่างต่อเนื่องหลังจากบริษัทหันมาให้ความสำคัญกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายใหม่และผลิตภัณฑ์ประเภทใหม่ โดยมูลค่าลูกหนี้เช่าซื้อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก 1,295 ล้านบาทในปี 2554 เป็น 2,180 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2558 บริษัทได้จัดตั้งฝ่ายควบคุมสินเชื่อขึ้นในปลายปี 2551 เพื่อตรวจสอบและวิเคราะห์ใบสมัครสินเชื่อ รวมทั้งแยกอำนาจการอนุมัติสินเชื่อออกจากพนักงานขายเพื่อสร้างระบบการตรวจสอบและถ่วงดุลโดยมีวัตถุประสงค์ที่จะพัฒนาคุณภาพสินทรัพย์และมาตรฐานการปฏิบัติงานเพื่อปรับปรุงคุณภาพของลูกหนี้เช่าซื้อ อัตราส่วนลูกหนี้เช่าซื้อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อลูกหนี้เช่าซื้อรวมปรับตัวดีขึ้นจากระดับสูงที่ 34.2% ในปี 2550 เป็น 4.3% ณ สิ้นปี 2555 อย่างไรก็ตาม ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวส่งผลให้อัตราส่วนดังกล่าวมีการปรับเพิ่มขึ้นเป็น 6% ในปี 2556 และ 6.5% ในปี 2557 อัตราส่วนลูกหนี้เช่าซื้อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อลูกหนี้เช่าซื้อรวมปรับตัวดีขึ้นเป็น 6.1% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2558 ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา บริษัทเน้นจำหน่ายสินค้าบางประเภทโดยเฉพาะเท่านั้น ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดหวังว่าบริษัทจะกระจายฐานลูกค้าตามประเภทสินค้าเพื่อลดความเสี่ยงจากการกระจุกตัวด้วยเช่นกัน
สถานะทางการเงินของบริษัทได้รับผลกระทบในปี 2549 จากหนี้เสียของสินเชื่อรถจักรยานยนต์เป็นส่วนใหญ่ บริษัทได้ใช้ความพยายามอย่างมากในการฟื้นฟูธุรกิจไม่ว่าจะเป็นการสร้างความแข็งแกร่งให้แก่กระบวนการและเกณฑ์การอนุมัติสินเชื่อให้มากขึ้น การเพิ่มความเข้มงวดในการควบคุมการเก็บเงิน การลดค่าใช้จ่ายดำเนินงานที่ไม่จำเป็น และการขยายประเภทสินค้าและฐานลูกค้า ส่งผลให้บริษัทมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 321 ล้านบาทในปี 2556 จากที่มีผลขาดทุน 10 ล้านบาทในปี 2552 อย่างไรก็ตาม กำไรสุทธิปรับตัวลดลงเป็น 241 ล้านบาทในปี 2557 และ 103 ล้านบาทสำหรับช่วงครึ่งแรกของปี 2558 เมื่อเปรียบเทียบกับ 170 ล้านบาทจากช่วงเดียวกันในปี 2557 อันเป็นผลมาจากค่าใช้จ่ายหนี้สูญที่เพิ่มขึ้นจากคุณภาพลูกหนี้ที่ถดถอยลง ส่งผลให้อัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยปรับเพิ่มเป็น 10.8% ในปี 2556 จาก 6.6% ในปี 2554 อัตราส่วนดังกล่าวปรับตัวลงเล็กน้อยเป็น 7.3% ในปี 2557 และ 6.1% สำหรับช่วงครึ่งแรกของปี 2558 (ปรับอัตราส่วนให้เป็นตัวเลขเต็มปีแล้ว) ฐานทุนของบริษัทปรับเพิ่มขึ้นเป็น 1,578 ล้านบาทในปี 2557 จาก 848 ล้านบาทในปี 2553 และปรับตัวลงเล็กน้อยเป็น 1,538 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2558 ส่งผลให้อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนลดลงเป็น 42.03% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2558 ซึ่งอัตราส่วน ณ ปัจจุบันอยู่ในระดับที่เพียงพอให้บริษัทสามารถขยายธุรกิจต่อไปได้
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com ติดต่อ santaya@trisrating.com โทร. 0-2231-3011 ต่อ 500 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500 บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2558 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html