ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท สวนอุตสาหกรรมโรจนะ จำกัด (มหาชน) ที่ “BBB+” ด้วยแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงประสบการณ์ที่ยาวนานของผู้บริหารในธุรกิจพัฒนานิคมอุตสาหกรรมในประเทศ ตลอดจนรายได้ที่สม่ำเสมอจากการขายไฟฟ้า และการสนับสนุนจากผู้ถือหุ้นรายใหญ่และผู้ร่วมทุนสัญชาติญี่ปุ่น อันดับเครดิตยังพิจารณาถึงการกระจายตัวในทางภูมิศาสตร์ของนิคมอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้นรวมทั้งรายได้ประจำจากธุรกิจโรงงานและคลังสินค้าให้เช่าด้วย ทั้งนี้ ความผันผวนของธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม ตลอดจนการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทที่อยู่ในระดับค่อนข้างสูงเป็นปัจจัยเสี่ยงต่ออันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนความคาดหวังว่าบริษัทจะสามารถรักษาสถานภาพในธุรกิจพัฒนานิคมอุตสาหกรรมเอาไว้ได้ นอกจากนี้ สัดส่วนรายได้จากธุรกิจไฟฟ้าและรายได้ค่าเช่าที่เพิ่มขึ้นจะช่วยสร้างความแข็งแกร่งให้แก่กระแสเงินสดของบริษัทและจะช่วยบรรเทาความผันผวนของธุรกิจขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรม อันดับเครดิตอาจปรับขึ้นได้หากฐานะการเงินและความสามารถในการชำระหนี้ของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญอย่างต่อเนื่อง ในทางตรงข้าม อันดับเครดิต และ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจปรับลดลงหากบริษัทมีการลงทุนที่ใช้เงินกู้เป็นจำนวนมากจนทำให้สถานะการเงินและความสามารถในการชำระหนี้ของบริษัทอ่อนแอลง
บริษัทสวนอุตสาหกรรมโรจนะเป็นหนึ่งในผู้นำในธุรกิจพัฒนานิคมอุตสาหกรรมของประเทศไทยซึ่งก่อตั้งในปี 2531 โดยตระกูลวินิชบุตรและกลุ่มซูมิโตโม (Sumitomo Group) นอกเหนือจากการขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมและสาธารณูปโภคแล้ว บริษัทยังเป็นเจ้าของและผู้ดำเนินงานโรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซขนาด 432 เมกะวัตต์และโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาด 24 เมกะวัตต์ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่สวนอุตสาหกรรมโรจนะอยุธยาด้วย ในปี 2555-2557 บริษัทได้ขยายกิจการนิคมอุตสาหกรรมไปยังภาคตะวันออกของประเทศไทย ทำให้ปัจจุบันบริษัทเป็นเจ้าของและเป็นผู้พัฒนาสวนอุตสาหกรรมรวม 4 แห่งในจังหวัดอยุธยา ระยอง และปราจีนบุรี และกำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาสวนอุตสาหกรรมอีก 2 แห่งในจังหวัดชลบุรี ในปี 2557 บริษัทยังได้เพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นใน บริษัท ไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่น จำกัด (มหาชน) (TICON) เป็น 43.5% จาก 20.6% โดยใช้เงินลงทุน 5,302 ล้านบาท บริษัทรวมงบการเงินกับ TICON ตั้งแต่เดือนมกราคม 2558 เป็นต้นมา ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2558 รายได้จากธุรกิจไฟฟ้าคิดเป็นสัดส่วน 63% ของรายได้รวมของบริษัท รายได้ค่าเช่าและขายสาธารณูปโภคคิดเป็นสัดส่วน 10% และส่วนที่เหลือ 27% มาจากการขายที่ดินและการขายสินทรัพย์ให้เช่า
แม้ความต้องการที่ดินในสวนอุตสาหกรรมโรจนะอยุธยาจะยังไม่ฟื้นตัวมากนัก แต่การขยายสวนอุตสาหกรรมไปยังจังหวัดปราจีนบุรีก็ช่วยลดผลกระทบดังกล่าวลงได้บางส่วน ในระหว่างปี 2556-2557 มากกว่า 50% ของยอดขายที่ดินในสวนอุตสาหกรรมมาจากสวนอุตสาหกรรมโรจนะในจังหวัดปราจีนบุรี ยอดขายที่ดินในสวนอุตสาหกรรมของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 720 ไร่ในปี 2557 จาก 323 ไร่ในปี 2556 เนื่องจากบริษัทขายที่ดินแปลงใหญ่ให้แก่ลูกค้ารายใหญ่ในจังหวัดปราจีนบุรี ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2558 การชะลอตัวของเศรษฐกิจไทยโดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยานยนต์ทำให้ยอดขายที่ดินในสวนอุตสาหกรรมของบริษัทซบเซา บริษัทขายที่ดินได้เพียง 92 ไร่ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2558 ณ เดือนมิถุนายน 2558 บริษัทมีที่ดินคงเหลือสำหรับการขายรวม 7,771 ไร่ โดยประมาณ 40% อยู่ในจังหวัดอยุธยา อีก 25% อยู่ในจังหวัดชลบุรี 20% อยู่ในจังหวัดปราจีนบุรี และที่เหลืออยู่ในจังหวัดระยอง
นอกเหนือจากธุรกิจสวนอุตสาหกรรมแล้ว บริษัทยังถือหุ้น 41% ใน บริษัท โรจนะ พาวเวอร์ จำกัด ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าที่ตั้งอยู่ในพื้นที่สวนอุตสาหกรรมโรจนะอยุธยาด้วย หลังจากโรงไฟฟ้าได้กลับมาดำเนินงานในปี 2556 ภายหลังจากการปิดซ่อมแซมและเปลี่ยนอุปกรณ์ รายได้จากการขายไฟฟ้าของบริษัทก็เพิ่มขึ้นเป็นลำดับ โดยบริษัทขายไฟฟ้าจำนวน 2,222 ล้านหน่วย (Gigawatt Hour -- GWh) ในปี 2557 เพิ่มขึ้น 52.9% จากปี 2556 ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2558 ปริมาณขายไฟฟ้าของบริษัทยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง 13.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็น 1,234 ล้านหน่วย ปริมาณขายไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเนื่องจากบริษัทมีการทำสัญญาขายไฟฟ้าให้แก่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) จำนวน 70 เมกะวัตต์ในรูปแบบ Non-firm นอกเหนือจากการขายไฟฟ้าจำนวน 180 เมกะวัตต์ภายใต้สัญญาขายไฟฟ้าระยะยาว (Power Purchase Agreement -- PPA) กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ภายใต้โครงการผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (Small Power Producer -- SPP) ในส่วนของปริมาณไฟฟ้าที่จำหน่ายให้แก่ลูกค้าอุตสาหกรรมก็เพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งแรกของปี 2558 เช่นกัน โดยเติบโต 10.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ ปริมาณการขายไฟฟ้าให้แก่ลูกค้าอุตสาหกรรมฟื้นตัวขึ้นมาอยู่ในระดับประมาณ 85% ของปริมาณขายในช่วงก่อนเหตุอุทกภัยครั้งใหญ่ในปลายปี 2554
รายได้ของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 11,597 ล้านบาทในปี 2557 จาก 9,155 ล้านบาทในปี 2556 เนื่องจากการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโรงไฟฟ้ารวม 156 เมกะวัตต์และบริษัทมีการโอนขายที่ดินในสวนอุตสาหกรรมจำนวนถึง 2,404 ไร่ในปี 2557 อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อยอดขายของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 21.4% ในปี 2557 เนื่องจากรายได้จากการขายที่ดินที่มีอัตรากำไรระดับสูงมีสัดส่วนเพิ่มขึ้น กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) เพิ่มขึ้นเป็น 2,630 ล้านบาทในปี 2557 จาก 774 ล้านบาทในปี 2556
บริษัทยังมีกำไรที่เติบโตขึ้นในครึ่งแรกของปี 2558 รายได้ของบริษัทเติบโต 63.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนเป็น 7,479 ล้านบาท รายได้ในครึ่งแรกของปี 2558 เติบโตขึ้นเนื่องจากการขายที่ดินแปลงใหญ่และธุรกิจไฟฟ้ามีรายได้เพิ่มขึ้นรวมทั้งมาจากการรวมงบการเงินของบริษัทเข้ากับของ TICON โดยรายได้จาก TICON คิดเป็นประมาณ 7% ของรายได้รวมของบริษัทในช่วงครึ่งแรกของปี 2558 ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทในช่วงครึ่งแรกของปี 2558 ก็ดีขึ้นเช่นกันจากกำไรที่ดีขึ้นของธุรกิจส่วนใหญ่ ยอดขายที่ดินให้อัตรากำไรขั้นต้นสูงถึง 59% ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการขายที่ดินเปล่าสำหรับการพัฒนาโครงการที่พักอาศัยไปอัตรากำไรขั้นต้นของโรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซเพิ่มขึ้นเป็น 12.2% จาก 10.8% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเมื่อรวมกับอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงของ TICON แล้ว อัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ยของบริษัทจึงเพิ่มขึ้นเป็น 30.5% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2558 อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อยอดขายของบริษัทจึงเพิ่มเป็น 30.8% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2558 จาก 17.1% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน ในส่วนของ EBITDA ก็เพิ่มขึ้นเป็น 2,608 ล้านบาท เทียบกับ 833 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งแรกของปี 2558 บริษัทมีสัดส่วนกำไรที่สม่ำเสมอคิดเป็นประมาณ 60% ของ EBITDA รวม โดยเป็น EBITDA จากธุรกิจไฟฟ้า 40% และ EBITDA จากธุรกิจให้เช่าโรงงานและคลังสินค้าของ TICON อีก 20%
แม้ว่าบริษัทจะมี EBITDA ที่ปรับตัวดีขึ้น แต่อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายของบริษัทยังอยู่ในระดับปานกลางที่ 2.8 เท่าในครึ่งแรกของปี 2558 จาก 2.7 เท่าในปี 2557 อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมลดลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ 7.3% (ปรับเป็นอัตราส่วนเต็มปีด้วยผลการดำเนินงานย้อนหลัง 12 เดือน) ในครึ่งแรกของปี 2558 เทียบกับ 8.8% ในปี 2557 ความสามารถในการชำระหนี้ยังคงอยู่ในระดับปานกลางเนื่องจากบริษัทมีภาระหนี้เพิ่มขึ้นจาก 17,683 ล้านบาทในปี 2556 เป็น 43,908 ล้านบาท ณ เดือนมิถุนายน 2558 ภาระหนี้เพิ่มขึ้นเนื่องจากบริษัทมีการลงทุนจำนวนมากเพื่อกระจายความเสี่ยงทางด้านทำเลที่ตั้งและเพื่อเพิ่มรายได้ประจำ บริษัทได้สร้างสวนอุตสาหกรรมแห่งใหม่ในพื้นที่ภาคตะวันออกของประเทศอีกหลายแห่ง รวมทั้งได้เพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าอีก 156 เมกะวัตต์และเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นใน TICON ซึ่งเป็นผู้พัฒนาโรงงานและคลังสินค้าให้เช่า บริษัทยังมีภาระหนี้ที่เกิดจากการรวมงบการเงินกับ TICON อีกจำนวน 20,649 ล้านบาท แม้ว่าบริษัทจะประสบความสำเร็จในการเพิ่มทุนจำนวน 2,181 ล้านบาทในปี 2557 และครึ่งแรกของปี 2558 แต่อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทก็ยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 66.3% ณ เดือนมิถุนายน 2558 จาก 64.3% ในปี 2556 คาดว่าในอนาคตอัตราการก่อหนี้ของบริษัทจะยังคงอยู่ในระดับสูงเนื่องจากบริษัทยังมีแผนพัฒนาโครงการอย่างต่อเนื่อง บริษัทมีแผนจะลงทุนราว 8,000 ล้านบาทในระหว่างปี 2558-2560 เพื่อพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซขนาด 110 เมกะวัตต์ภายใต้โครงการ SPP รวมทั้งพัฒนาสวนอุตสาหกรรมแห่งใหม่และขยายกำลังการผลิตโรงผลิตน้ำประปา ธุรกิจโรงงานและคลังสินค้าให้เช่าภายใต้การดำเนินงานของ TICON มีแผนลงทุนปีละประมาณ 6,000-7,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม คาดว่าสภาพคล่องและความสามารถในการชำระหนี้ของบริษัทจะยังคงอยู่ในระดับที่จัดการได้ภายใต้สมมติฐานว่าบริษัทมี EBITDA ปีละประมาณ 4,000 ล้านบาทซึ่งยังไม่รวมรายได้จากการขายสินทรัพย์เข้าทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate Investment Trust -- REIT) ที่ปกติ TICON จะขายประมาณปีละ 4,000 ล้านบาท
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com ติดต่อ santaya@trisrating.com โทร. 0-2231-3011 ต่อ 500 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500 ? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2558 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html