ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตองค์กรให้แก่ บริษัท โรงพิมพ์ตะวันออก จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “BBB” ด้วยแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงการเป็นผู้ประกอบธุรกิจสิ่งพิมพ์รายใหญ่ในประเทศและผลงานที่ยาวนานในธุรกิจ ความสามารถในการทำกำไรจากธุรกิจหลักแม้ว่าแนวโน้มการเติบโตจะมีอยู่อย่างจำกัด การขยายธุรกิจไปสู่การผลิตพลังงานทดแทน และกระแสเงินสดที่เสถียรภาพจากบริษัทย่อยซึ่งเป็นผู้ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งดังกล่าวลดทอนลงบางส่วนจากแนวโน้มของอุตสาหกรรมสิ่งพิมพ์ที่ชะลอตัวลงมาก รวมทั้งการมีผลการดำเนินงานในธุรกิจโรงไฟฟ้าที่ปรากฏในระยะเวลาอันสั้น ความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจใหม่ และความเสี่ยงจากการก่อภาระหนี้ที่จะเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับการขยายการลงทุนของบริษัท
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงความคาดหวังว่าบริษัทจะยังคงรักษาสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งในธุรกิจสิ่งพิมพ์และยังคงสามารถสร้างผลกำไรจากธุรกิจนี้ได้ อีกทั้งบริษัทจะได้รับกระแสเงินสดในระดับสูงได้อย่างสม่ำเสมอจากธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ นอกจากนี้ ยังคาดหวังว่าบริษัทจะจะประสบความสำเร็จในการดำเนินงานโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทั้งในประเทศและต่างประเทศและมีผลตอบแทนเป็นที่น่าพอใจโดยไม่ทำให้โครงสร้างเงินทุนอ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญ
อันดับเครดิตจะปรับเพิ่มขึ้นหากบริษัทประสบความสำเร็จในการขยายธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในอนาคต แม้ว่าจะต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นและราคารับซื้อไฟฟ้าที่จะลดลงสำหรับโครงการในอนาคตก็ตาม ในขณะที่ปัจจัยซึ่งกดดันให้อันดับเครดิตปรับลดลงคือการที่บริษัทไม่สามารถรักษาความแข็งแกร่งในธุรกิจหลักเอาไว้ได้ หรือไม่สามารถสร้างกระแสเงินสดจากธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเหตุดังกล่าวจะส่งผลให้ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทลดลงและทำให้ภาระหนี้สูงขึ้นกว่าระดับปัจจุบัน รวมถึงอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนจะสูงกว่า 70% อย่างต่อเนื่อง
บริษัทโรงพิมพ์ตะวันออกก่อตั้งในปี 2533 เพื่อให้บริการด้านสิ่งพิมพ์ บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2536 ณ เดือนสิงหาคม 2558 บริษัท อควา คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ถือหุ้นของบริษัทในสัดส่วน 38% ในขณะที่ครอบครัวชินสุภัคกุลซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งบริษัท ถือหุ้นในสัดส่วน 17% บริษัทประกอบธุรกิจให้บริการด้านสิ่งพิมพ์แบบครบวงจรแก่ลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศโดยจัดพิมพ์หนังสือพิมพ์ นิตยสาร คู่มือสินค้า หนังสือเรียน ปฏิทิน และสิ่งพิมพ์เพื่อการโฆษณาต่าง ๆ
อันดับเครดิตสะท้อนถึงตำแหน่งทางการตลาดที่แข็งแกร่งของบริษัทจากการเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ในธุรกิจบริการด้านสิ่งพิมพ์ในประเทศโดยพิจารณาจากฐานรายได้และสินค้าที่หลากหลาย ชื่อเสียงและผลงานที่ยาวนานทำให้บริษัทสามารถรักษาความสัมพันธ์ที่ยาวนานกับลูกค้าเอาไว้ได้ การมีฐานลูกค้าที่แข็งแกร่งช่วยให้บริษัทยังคงรักษาความสามารถในการทำกำไรไว้ได้ แม้ว่าแนวโน้มของอุตสาหกรรมสิ่งพิมพ์จะชะลอตัวลงก็ตาม โดยเห็นได้จากอัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทที่สูงกว่าบริษัทอื่นในธุรกิจเดียวกัน ทั้งนี้ รายได้จากธุรกิจสิ่งพิมพ์ของบริษัทลดลงจาก 600-650 ล้านบาทต่อปีในระหว่างปี 2547-2555 มาอยู่ที่ประมาณ 550 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2556 และ 2557 จากการที่พฤติกรรมการบริโภคข้อมูลข่าวสารเปลี่ยนไปจากเดิมที่อยู่ในรูปแบบสิ่งพิมพ์ไปเป็นสื่อแบบดิจิทัล เมื่อพิจารณาเฉพาะธุรกิจสิ่งพิมพ์บริษัทยังคงมีอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงาน (อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้) สูงกว่า 10% ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาถึงแม้ว่ารายได้จะค่อย ๆ ลดลงอย่างต่อเนื่องก็ตาม
อันดับเครดิตยังพิจารณาถึงประโยชน์จากการขยายการลงทุนไปสู่ธุรกิจพลังงานทดแทนด้วย เพื่อรับมือกับอุปสงค์ในบริการด้านสิ่งพิมพ์ที่ลดลง บริษัทจึงขยายธุรกิจไปสู่ธุรกิจการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ในปี 2555 โดยลงทุนผ่านบริษัท บ่อพลอย โซล่าร์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยหลักของบริษัท โดยบริษัทบ่อพลอย โซล่าร์ ได้เริ่มดำเนินงานโรงไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน (โซลาร์ฟาร์ม) 2 โครงการแรกในจังหวัดกาญจนบุรี โดยมีขนาดกำลังการผลิตตามสัญญารวม 10 เมกะวัตต์ ในปี 2557 บริษัทบ่อพลอย โซล่าร์ ก่อสร้างโซลาร์ฟาร์มเพิ่มขึ้นอีก 1 โครงการในจังหวัดลพบุรีซึ่งมีขนาดกำลังการผลิตตามสัญญา 5 เมกะวัตต์ ทั้งนี้โซลาร์ฟาร์มทั้งหมดของบริษัทดำเนินการภายใต้โครงการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมาก (Very Small Power Producer -- VSPP) และได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐในส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า (Adder) ที่ 8 บาทต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมงเป็นเวลา 10 ปี
ในช่วงปี 2557-2558 บริษัทบ่อพลอย โซล่าร์ ลงทุนในโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคา (โซลาร์รูฟท็อป) จำนวน 8 โครงการในพื้นที่กรุงเทพฯ และจังหวัดสมุทรปราการ โดยมีขนาดกำลังการผลิตตามสัญญารวม 1.5 เมกะวัตต์ โครงการโซลาร์รูฟท็อปมีสัญญาขายไฟฟ้าระยะยาวกับ กฟน.และได้ราคารับซื้อไฟฟ้าแบบ Feed-in Tariff (FiT) ที่ 6.55 บาทต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมงเป็นเวลา 25 ปี การขยายธุรกิจไปสู่การผลิตพลังงานทดแทนช่วยให้กระแสเงินสดของบริษัทโรงพิมพ์ตะวันออกมีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้นและช่วยรักษาการเติบโตของรายได้ของบริษัท บริษัทเริ่มมีฐานรายได้ที่สม่ำเสมอจากการจำหน่ายไฟฟ้าตั้งแต่ปี 2555 การลงทุนในธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ส่งผลให้บริษัทมีฐานรายได้มากกว่า 800 ล้านบาทในปี 2557 เพิ่มขึ้นจากค่าเฉลี่ยที่ 660 ล้านบาทในช่วง 5 ปีก่อนหน้านี้ บริษัทมีอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานลดลงอย่างต่อเนื่องจากระดับ 22.8% ในปี 2551 สู่ระดับ 17% ในปี 2555 อัตราส่วนกำไรเพิ่มขึ้นเป็น 36% ในปี 2556 และ 43% ในปี 2557 หลังจากรับรู้กำไรจากธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ทั้งนี้ บริษัทมีแผนลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศญี่ปุ่นซึ่งมีขนาดกำลังการผลิตตามสัญญารวม 48 เมกะวัตต์ ด้วยมูลค่าเงินลงทุนประมาณ 5,000-6,000 ล้านบาท โดยมีแผนก่อสร้างในช่วงปี 2559-2561
อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตลดทอนลงบางส่วนจากการที่ตลาดสิ่งพิมพ์มีแนวโน้มชะลอตัวลง ส่วนหนึ่งมาจากอุปสงค์ในบริการด้านสิ่งพิมพ์ที่ลดลง โดยธุรกิจสิ่งพิมพ์มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญจากการแข่งขันที่รุนแรงกับสื่อแบบดิจิทัลซึ่งยังคงส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจสิ่งพิมพ์ของบริษัท นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังมีข้อจำกัดจากการที่บริษัทยังมีผลการดำเนินธุรกิจโรงไฟฟ้าที่ปรากฏในระยะเวลาอันสั้น แม้ว่าบริษัทจะใช้เทคโนโลยีการผลิตแบบ Photovoltaic (PV) ที่ผ่านการพิสูจน์มาแล้วก็ตาม ในการผลิตไฟฟ้าเพื่อให้ได้ระดับผลผลิตที่มีเสถียรภาพในระยะยาวนั้น โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์จะต้องมีการออกแบบที่ดี อีกทั้งยังต้องเลือกใช้อุปกรณ์ที่ใช้เทคโนโลยีที่ผ่านการพิสูจน์และได้การรับรอง และจะต้องดำเนินการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนต้องมีการดูแลซ่อมบำรุงตามกำหนดเวลาด้วย ซึ่งผลงานในส่วนธุรกิจนี้ของบริษัทยังต้องรอการพิสูจน์ต่อไป
อันดับเครดิตยังถูกลดทอนลงจากความเสี่ยงในการดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าที่มีอยู่ในปัจจุบันและโครงการที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตซึ่งรวมถึงความเสี่ยงจากความเพียงพอของบุคคลากรและอุปกรณ์เครื่องมือที่ควบคุมและติดตามกระบวนการผลิต ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีซึ่งจะกระทบต่อโครงสร้างต้นทุน ความเสี่ยงจากการมีคู่แข่งมากขึ้นเนื่องจากการเป็นธุรกิจที่เข้ามาได้ง่าย ตลอดจนกฎระเบียบต่าง ๆ เช่น ราคารับซื้อไฟฟ้าและการสนับสนุนจากภาครัฐ รวมทั้งความเสี่ยงจากการดำเนินธุรกิจในต่างประเทศ เป็นต้น นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงการก่อหนี้ที่เพิ่มขึ้นเพื่อรองรับการขยายการลงทุนของบริษัทอีกด้วย
ประมาณการพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้รวมของบริษัทจะอยู่ที่ระดับ 800 ล้านบาทต่อปีเป็นอย่างต่ำในช่วงระหว่างปี 2558-2561 อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานของบริษัทจะปรับตัวขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 50% โดยกำไรจากการดำเนินงานที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นนั้นมาจากฐานรายได้ของบริษัทที่เพิ่มขึ้นและความสม่ำเสมอของรายได้จากธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ทั้งนี้ ธุรกิจผลิตไฟฟ้ามีอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานที่สูงเนื่องจากมีค่าใช้จ่ายดำเนินงานที่ต่ำและได้รับ Adder จากการสนับสนุนจากภาครัฐ ในขณะที่เงินทุนจากการดำเนินงานของบริษัทคาดว่าจะอยู่ที่ระดับประมาณ 300-400 ล้านบาทต่อปี
แผนการลงทุนของบริษัทในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศญี่ปุ่นจะส่งผลให้อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทเพิ่มสูงขึ้น แต่คาดว่าบริษัทจะรักษาระดับอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อส่วนของผู้ถือหุ้นไว้ต่ำกว่า 2 เท่า สภาพคล่องของบริษัทเมื่อวัดจากอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมและอัตราส่วนกำไร (ก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย) ต่อดอกเบี้ยจ่ายแล้วคาดว่าจะอ่อนแอลงจากภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้นเพื่อใช้ในการขยายการลงทุน อย่างไรก็ตาม คาดว่าอัตราส่วนดังกล่าวจะยังคงอยู่ในระดับที่สอดคล้องกับอันดับเครดิตปัจจุบันได้ ในช่วงปี 2558-2561 อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมของบริษัทคาดว่าจะอยู่ในระดับ 18% ในขณะที่อัตราส่วนกำไรต่อดอกเบี้ยจ่ายจะอยู่ในระดับ 5-6 เท่า และอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนคาดว่าจะอยู่ในช่วง 60%-65% ในช่วง 3 ปีข้างหน้า
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com ติดต่อ santaya@trisrating.com โทร. 0-2231-3011 ต่อ 500 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500 บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2558 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html