เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2544 บริษัท ไทยเรทติ้งแอนด์อินฟอร์เมชั่นเซอร์วิส จำกัด (ทริส) ได้ประกาศอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่มีประกันมูลค่า 3,500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2548 ของบริษัท สยามพาณิชย์ลีสซิ่ง จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ "BBB+" ซึ่งสะท้อนถึงผลการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ การได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากผู้ถือหุ้นรายใหญ่คือธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) รวมทั้งการมีสัมพันธภาพที่ดีและยาวนานกับผู้ผลิตและผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ นอกจากนี้ ยังสะท้อนถึงการมีคุณภาพสินทรัพย์ในระดับดีซึ่งทำให้สัดส่วนสินเชื่อค้างชำระลดลงอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนการมีระบบควบคุมภายในที่มีประสิทธิภาพและฐานะการเงินที่ดีขึ้น ในขณะที่การแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์จากผู้ประกอบการต่างชาติรายใหญ่เป็นปัจจัยลบต่อการประกอบการของบริษัท
ทริสรายงานว่าการบริหารหนี้ที่มีประสิทธิภาพมีผลทำให้สินเชื่อที่หยุดรับรู้รายได้ของบริษัท สยามพาณิชย์ลีสซิ่ง จำกัด (มหาชน) ลดลงอยู่ที่ระดับ 5% ของเงินให้สินเชื่อเฉลี่ย ณ เดือนธันวาคม 2543 บริษัทใช้เกณฑ์หยุดรับรู้รายได้สำหรับสินเชื่อเช่าซื้อที่ค้างชำระตั้งแต่ 4 เดือนขึ้นไป และใช้เกณฑ์หยุดรับรู้รายได้เมื่อค้างชำระตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไปสำหรับสินเชื่อแบบลีสซิ่งและสินเชื่อแบบแฟคตอริ่ง ซึ่งหากใช้เกณฑ์หยุดรับรู้รายได้เมื่อสินเชื่อค้างชำระตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไปตามเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทยแล้ว บริษัทจะมีสินเชื่อที่หยุดรับรู้รายได้ทั้งสิ้น 5.1% ของเงินให้สินเชื่อรวม ซึ่งเป็นอัตราส่วนที่ต่ำกว่าอัตราส่วนของบริษัทเงินทุนทั้งระบบซึ่งอยู่ที่ 24.5% ของยอดสินเชื่อ นอกจากนี้สินเชื่อให้เช่าซื้อซึ่งเป็นสินเชื่อที่มีสัดส่วนประมาณ 86% ของสินเชื่อทั้งสิ้น ณ เดือนธันวาคม 2543 ยังมีส่วนที่ค้างชำระเกิน 3 เดือนเพียง 1% เท่านั้น คุณภาพสินทรัพย์ที่ดีทำให้บริษัทสามารถลดจำนวนที่กันไว้เผื่อหนี้สงสัยจะสูญให้เหลือเพียง 4% ของเงินให้สินเชื่อรวม ส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยสุทธิของบริษัท ณ เดือนธันวาคม 2543 อยู่ที่ระดับ 4.9% ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายขั้นต่ำที่ผู้บริหารวางไว้
ท่ามกลางสถานการณ์ที่ผู้ประกอบการซึ่งเป็นบริษัทเงินทุนหลายรายต้องปิดกิจการไปในช่วงวิกฤติทางการเงิน ธุรกิจให้เช่าซื้อยังคงมีการแข่งขันที่รุนแรงมาจนถึงทุกวันนี้ การเข้ามาขยายส่วนแบ่งตลาดของผู้ประกอบการจากต่างประเทศด้วยการแข่งขันการลดอัตราดอกเบี้ยการให้เช่าซื้อทำให้เกิดแรงกดดันอย่างมากต่อผู้ประกอบการไทย ผู้ประกอบการต่างประเทศยังมีข้อได้เปรียบผู้ประกอบการไทยเนื่องจากการมีแหล่งเงินทุนรองรับจากบริษัทแม่ซึ่งทำให้เกิดความยืดหยุ่นทางการเงิน การมีต้นทุนการกู้ยืมเงินในประเทศไทยที่ต่ำกว่า รวมทั้งการมีเทคโนโลยีที่ทันสมัย
บริษัทได้หาทางลดต้นทุนทางการเงินด้วยการออกหุ้นกู้ในไตรมาสแรกของปี 2543 เพื่อใช้ชำระคืนเงินกู้ยืมจากธนาคารไทยพาณิชย์และสถาบันการเงินอื่นที่มีต้นทุนการกู้ยืมที่สูง ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2543 บริษัทมีวงเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินต่างๆ ประมาณ 5,479 ล้านบาท โดยมีวงเงินคงเหลือ 646 ล้านบาท สำหรับหนี้สินต่างประเทศที่เดิมเคยได้รับผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนนั้นปัจจุบันได้รับการป้องกันไว้เต็มจำนวนแล้ว ซึ่งหนี้สินส่วนนี้จะครบกำหนดชำระในปี 2544 ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2543 บริษัทมีอัตราส่วนของส่วนของผู้ถือหุ้นต่อสินทรัพย์รวม 27.5% ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับอัตราส่วนของบริษัทเงินทุนทั้งระบบซึ่งอยู่ที่ระดับ 20.2% -- จบ
ทริสรายงานว่าการบริหารหนี้ที่มีประสิทธิภาพมีผลทำให้สินเชื่อที่หยุดรับรู้รายได้ของบริษัท สยามพาณิชย์ลีสซิ่ง จำกัด (มหาชน) ลดลงอยู่ที่ระดับ 5% ของเงินให้สินเชื่อเฉลี่ย ณ เดือนธันวาคม 2543 บริษัทใช้เกณฑ์หยุดรับรู้รายได้สำหรับสินเชื่อเช่าซื้อที่ค้างชำระตั้งแต่ 4 เดือนขึ้นไป และใช้เกณฑ์หยุดรับรู้รายได้เมื่อค้างชำระตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไปสำหรับสินเชื่อแบบลีสซิ่งและสินเชื่อแบบแฟคตอริ่ง ซึ่งหากใช้เกณฑ์หยุดรับรู้รายได้เมื่อสินเชื่อค้างชำระตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไปตามเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทยแล้ว บริษัทจะมีสินเชื่อที่หยุดรับรู้รายได้ทั้งสิ้น 5.1% ของเงินให้สินเชื่อรวม ซึ่งเป็นอัตราส่วนที่ต่ำกว่าอัตราส่วนของบริษัทเงินทุนทั้งระบบซึ่งอยู่ที่ 24.5% ของยอดสินเชื่อ นอกจากนี้สินเชื่อให้เช่าซื้อซึ่งเป็นสินเชื่อที่มีสัดส่วนประมาณ 86% ของสินเชื่อทั้งสิ้น ณ เดือนธันวาคม 2543 ยังมีส่วนที่ค้างชำระเกิน 3 เดือนเพียง 1% เท่านั้น คุณภาพสินทรัพย์ที่ดีทำให้บริษัทสามารถลดจำนวนที่กันไว้เผื่อหนี้สงสัยจะสูญให้เหลือเพียง 4% ของเงินให้สินเชื่อรวม ส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยสุทธิของบริษัท ณ เดือนธันวาคม 2543 อยู่ที่ระดับ 4.9% ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายขั้นต่ำที่ผู้บริหารวางไว้
ท่ามกลางสถานการณ์ที่ผู้ประกอบการซึ่งเป็นบริษัทเงินทุนหลายรายต้องปิดกิจการไปในช่วงวิกฤติทางการเงิน ธุรกิจให้เช่าซื้อยังคงมีการแข่งขันที่รุนแรงมาจนถึงทุกวันนี้ การเข้ามาขยายส่วนแบ่งตลาดของผู้ประกอบการจากต่างประเทศด้วยการแข่งขันการลดอัตราดอกเบี้ยการให้เช่าซื้อทำให้เกิดแรงกดดันอย่างมากต่อผู้ประกอบการไทย ผู้ประกอบการต่างประเทศยังมีข้อได้เปรียบผู้ประกอบการไทยเนื่องจากการมีแหล่งเงินทุนรองรับจากบริษัทแม่ซึ่งทำให้เกิดความยืดหยุ่นทางการเงิน การมีต้นทุนการกู้ยืมเงินในประเทศไทยที่ต่ำกว่า รวมทั้งการมีเทคโนโลยีที่ทันสมัย
บริษัทได้หาทางลดต้นทุนทางการเงินด้วยการออกหุ้นกู้ในไตรมาสแรกของปี 2543 เพื่อใช้ชำระคืนเงินกู้ยืมจากธนาคารไทยพาณิชย์และสถาบันการเงินอื่นที่มีต้นทุนการกู้ยืมที่สูง ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2543 บริษัทมีวงเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินต่างๆ ประมาณ 5,479 ล้านบาท โดยมีวงเงินคงเหลือ 646 ล้านบาท สำหรับหนี้สินต่างประเทศที่เดิมเคยได้รับผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนนั้นปัจจุบันได้รับการป้องกันไว้เต็มจำนวนแล้ว ซึ่งหนี้สินส่วนนี้จะครบกำหนดชำระในปี 2544 ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2543 บริษัทมีอัตราส่วนของส่วนของผู้ถือหุ้นต่อสินทรัพย์รวม 27.5% ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับอัตราส่วนของบริษัทเงินทุนทั้งระบบซึ่งอยู่ที่ระดับ 20.2% -- จบ