บริษัท ไทยเรทติ้งแอนด์อินฟอร์เมชั่นเซอร์วิส จำกัด (ทริส) ประกาศผลอันดับเครดิตหุ้นกู้มีประกัน มูลค่า 1,500 ล้านบาทของบริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) (แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์) ที่ระดับ ระดับ "BBB+" ซึ่งสะท้อนสถานะผู้นำของบริษัทในธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยของประเทศ ความสามารถและประสบการณ์อันยาวนานของทีมบริหาร รวมถึงความสามารถในการทำกำไรที่ดีขึ้นและอยู่ในระดับที่น่าพอใจ นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังคำนึงถึงการที่บริษัทจะจัดให้มีการจำนองที่ดินเปล่าในกรุงเทพฯ และปริมณฑลเพื่อเป็นหลักประกันแก่ผู้ถือหุ้นกู้ ซึ่งบริษัทจะต้องดำรงอัตราส่วนมูลค่าหลักประกันดังกล่าวต่อมูลค่าหุ้นกู้ไม่ต่ำกว่า 1.65 เท่าตลอดอายุหุ้นกู้ รวมถึงต้องจัดการให้มีบัญชีสำรองเพื่อชำระหนี้ด้วย ในขณะที่ปัจจัยด้านลบต่ออันดับเครดิต ได้แก่ ความผันผวนของอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ และอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมของบริษัทที่ยังคงอยู่ในระดับค่อนข้างต่ำ ตลอดจนความไม่แน่นอนของผลกระทบจากการทยอยขายอสังหาริมทรัพย์ของสถาบันการเงินและบรรษัทบริหารสินทรัพย์สถาบันการเงิน (บบส.) ที่ได้รับจากการโอนทรัพย์ชำระหนี้ต่ออุตสาหกรรมโดยรวม
ทริสรายงานว่า ผลการดำเนินงานของธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยมีทิศทางเดียวกับสภาวะเศรษฐกิจแต่ผันผวนสูงกว่า ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ประสบปัญหาทางการเงินในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ ทำให้มีการโอนทรัพย์สินเพื่อชำระหนี้แก่สถาบันการเงินเป็นจำนวนมาก โดยทรัพย์สินรอการขายจากธนาคารพาณิชย์และบริษัทเงินทุนเพิ่มจาก 44,295 ล้านบาท ณ เดือนมิถุนายน 2542 เป็น 117,507 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2543 และ 126,952 ล้านบาท ณ เดือนเมษายน 2544 การทยอยขายทรัพย์สินเหล่านี้อาจมีผลต่อราคาที่อยู่อาศัยในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า ในขณะเดียวกันคาดว่าความต้องการที่อยู่อาศัยคงจะกระเตื้องขึ้นในอีก 2-3 ปีข้างหน้าหากอัตราดอกเบี้ยยังคงอยู่ในระดับต่ำและมีการออกมาตรการจากทางการเพื่อกระตุ้นกำลังซื้อของผู้ต้องการที่อยู่อาศัย
ทริสกล่าวว่า แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์เป็นผู้นำในธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัย การมีทีมผู้บริหารที่มีประสบการณ์และความสามารถซึ่งทำให้บริษัทปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ ส่งผลให้บริษัทสามารถเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดได้ทุกปีนับจากช่วงเศรษฐกิจตกต่ำในปี 2540 จนกระทั่งถึงช่วงครึ่งแรกของปี 2544 โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดประมาณ 10.7% ของจำนวนที่อยู่อาศัยที่จดทะเบียนของกลุ่มผู้ประกอบการก่อสร้างบ้านและที่อยู่อาศัยในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ในขณะที่ส่วนแบ่งทางการตลาดของบริษัทในตลาดบ้านเดี่ยวในช่วงครึ่งแรกของปี 2544 มีประมาณ 27.6% บริษัทได้ผลักดันโครงการบ้านสร้างเสร็จก่อนขายตั้งแต่ปี 2543 ซึ่งได้รับการตอบรับจากกลุ่มลูกค้าเป็นอย่างดี โครงการดังกล่าวเป็นกลยุทธ์ที่ทำให้บริษัทมีความได้เปรียบเหนือคู่แข่งที่มีฐานการเงินที่อ่อนแอกว่า รวมถึงช่วยป้องกันการเข้ามาของผู้ประกอบการรายใหม่ที่ยังไม่มีฐานการเงินที่แข็งแกร่งพอ
การสร้างชื่อเสียงจนเป็นที่ยอมรับในตลาดทำให้บริษัทสามารถขายบ้านในราคาที่สูงกว่าคู่แข่งประมาณ 5%-10% อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานต่อยอดขายของบริษัทอยู่ในระดับต่ำสุดที่ 4.8% ในปี 2542 เนื่องจากบริษัทได้เสนอส่วนลดประมาณ 5%-30% สำหรับบ้านที่ลูกค้าไม่สามารถชำระเงินได้ตามงวด หลังจากนั้นอัตราส่วนดังกล่าวได้เพิ่มเป็น 17.1% ในปี 2543 และ 23.2% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2544 ในส่วนของอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมจากที่เคยติดลบในปี 2542 ได้ปรับตัวเป็นบวกที่ 5.11% ในปี 2543 และ 11.22% ในช่วงผลประกอบการ 9 เดือนแรกของปี 2544 กระนั้นก็ยังถือว่าอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำ คาดว่าอัตราส่วนดังกล่าวจะสามารถเพิ่มไปถึงระดับที่ยอมรับได้ที่ 20%-25% ภายใน 5 ปีข้างหน้าหากบริษัทใช้นโยบายที่ระมัดระวังในการจัดซื้อที่ดิน ทริสกล่าว -- จบ
ทริสรายงานว่า ผลการดำเนินงานของธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยมีทิศทางเดียวกับสภาวะเศรษฐกิจแต่ผันผวนสูงกว่า ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ประสบปัญหาทางการเงินในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ ทำให้มีการโอนทรัพย์สินเพื่อชำระหนี้แก่สถาบันการเงินเป็นจำนวนมาก โดยทรัพย์สินรอการขายจากธนาคารพาณิชย์และบริษัทเงินทุนเพิ่มจาก 44,295 ล้านบาท ณ เดือนมิถุนายน 2542 เป็น 117,507 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2543 และ 126,952 ล้านบาท ณ เดือนเมษายน 2544 การทยอยขายทรัพย์สินเหล่านี้อาจมีผลต่อราคาที่อยู่อาศัยในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า ในขณะเดียวกันคาดว่าความต้องการที่อยู่อาศัยคงจะกระเตื้องขึ้นในอีก 2-3 ปีข้างหน้าหากอัตราดอกเบี้ยยังคงอยู่ในระดับต่ำและมีการออกมาตรการจากทางการเพื่อกระตุ้นกำลังซื้อของผู้ต้องการที่อยู่อาศัย
ทริสกล่าวว่า แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์เป็นผู้นำในธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัย การมีทีมผู้บริหารที่มีประสบการณ์และความสามารถซึ่งทำให้บริษัทปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ ส่งผลให้บริษัทสามารถเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดได้ทุกปีนับจากช่วงเศรษฐกิจตกต่ำในปี 2540 จนกระทั่งถึงช่วงครึ่งแรกของปี 2544 โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดประมาณ 10.7% ของจำนวนที่อยู่อาศัยที่จดทะเบียนของกลุ่มผู้ประกอบการก่อสร้างบ้านและที่อยู่อาศัยในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ในขณะที่ส่วนแบ่งทางการตลาดของบริษัทในตลาดบ้านเดี่ยวในช่วงครึ่งแรกของปี 2544 มีประมาณ 27.6% บริษัทได้ผลักดันโครงการบ้านสร้างเสร็จก่อนขายตั้งแต่ปี 2543 ซึ่งได้รับการตอบรับจากกลุ่มลูกค้าเป็นอย่างดี โครงการดังกล่าวเป็นกลยุทธ์ที่ทำให้บริษัทมีความได้เปรียบเหนือคู่แข่งที่มีฐานการเงินที่อ่อนแอกว่า รวมถึงช่วยป้องกันการเข้ามาของผู้ประกอบการรายใหม่ที่ยังไม่มีฐานการเงินที่แข็งแกร่งพอ
การสร้างชื่อเสียงจนเป็นที่ยอมรับในตลาดทำให้บริษัทสามารถขายบ้านในราคาที่สูงกว่าคู่แข่งประมาณ 5%-10% อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานต่อยอดขายของบริษัทอยู่ในระดับต่ำสุดที่ 4.8% ในปี 2542 เนื่องจากบริษัทได้เสนอส่วนลดประมาณ 5%-30% สำหรับบ้านที่ลูกค้าไม่สามารถชำระเงินได้ตามงวด หลังจากนั้นอัตราส่วนดังกล่าวได้เพิ่มเป็น 17.1% ในปี 2543 และ 23.2% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2544 ในส่วนของอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมจากที่เคยติดลบในปี 2542 ได้ปรับตัวเป็นบวกที่ 5.11% ในปี 2543 และ 11.22% ในช่วงผลประกอบการ 9 เดือนแรกของปี 2544 กระนั้นก็ยังถือว่าอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำ คาดว่าอัตราส่วนดังกล่าวจะสามารถเพิ่มไปถึงระดับที่ยอมรับได้ที่ 20%-25% ภายใน 5 ปีข้างหน้าหากบริษัทใช้นโยบายที่ระมัดระวังในการจัดซื้อที่ดิน ทริสกล่าว -- จบ