เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2543 บริษัท ไทยเรทติ้งแอนด์อินฟอร์เมชั่นเซอร์วิส จำกัด (ทริส) ได้ประกาศผลทบทวนอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่มีประกัน มูลค่า 3,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2545 ของบริษัท ชินแซทเทลไลท์ จำกัด (มหาชน) โดยยืนยันที่ "BBB+" คงเดิม ซึ่งสะท้อนถึงอัตราการใช้ช่องสัญญาณดาวเทียมที่เพิ่มขึ้นและสถานภาพทางการตลาดที่แข็งแกร่งของบริษัทในภูมิภาคอินโดจีน รวมถึงประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการไอพีสตาร์ซึ่งจะเริ่มให้บริการประมาณต้นปี 2546 แม้จะเป็นภาระการก่อหนี้ในอาคตก็ตาม ในขณะที่ความเสี่ยงจากระบบส่งสัญญาณภาคพื้นดินซึ่งอาจทดแทนการใช้สื่อสัญญาณดาวเทียม ตลอดจนการแข่งขันที่จะรุนแรงขึ้นจากผู้ให้บริการต่างประเทศ และความไม่ชัดเจนของกฎระเบียบในการเปิดเสรีกิจการโทรคมนาคมของประเทศไทย เป็นปัจจัยลบต่อการจัดอันดับเครดิตในครั้งนี้
ทริสรายงานว่าอัตราการใช้ช่องสัญญาณดาวเทียมที่เพิ่มขึ้นเป็นผลมาจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นทั้งจากภายในประเทศและภูมิภาคอินโดจีนโดยช่องสัญญาณระบบซี-แบนด์เพิ่มขึ้นจาก 84% ในปี 2542 เป็น 97% ณ สิ้นไตรมาส 3 ของปี 2543 ในขณะที่ช่องสัญญาณระบบเคยู-แบนด์เพิ่มขึ้นจาก 34% เป็น 40% ในช่วงเดียวกัน ณ กลางปี 2543 บริษัท ชินแซทเทลไลท์ จำกัด (มหาชน) มีสัญญาการให้บริการระยะยาวซึ่งส่วนใหญ่เหลืออายุสัญญาเกิน 4 ปี มูลค่าประมาณ 11,000 ล้านบาท ซึ่งจะก่อให้เกิดรายได้ที่ค่อนข้างแน่นอนในอนาคต ณ กลางปี 2543 บริษัทได้ว่าจ้างให้บริษัท Space Systems/Loral สร้างดาวเทียมดวงใหม่สำหรับโครงการไอพีสตาร์ซึ่งจะมีประสิทธิภาพสูงกว่าดาวเทียมที่ให้บริการในปัจจุบันมากและคาดว่าจะส่งผลให้ค่าบริการลดลง โครงการไอพีสตาร์เน้นให้บริการแก่กลุ่มลูกค้าที่ใช้บริการเกี่ยวเนื่องกับอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงซึ่งเติบโตอย่างมากในทวีปเอเชีย อย่างไรก็ตาม การที่โครงการนี้ต้องใช้เงินทุนสูงซึ่งคาดว่าส่วนใหญ่จะมาจากการกู้ยืมจะมีผลทำให้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนของบริษัทเพิ่มขึ้นในอนาคต
ปัจจุบันระบบสื่อสารข้อมูลได้พัฒนาสู่เทคโนโลยีบรอดแบรนด์ซึ่งมีเทคโนโลยีรองรับทั้งระบบโครงข่ายภาคพื้นดินและโครงข่ายส่งสัญญาณผ่านดาวเทียม เทคโนโลยีแต่ละประเภทมีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกัน และสามารถใช้ทดแทนกันได้บ้างแต่ก็ไม่สมบูรณ์ ปัจจุบันโครงข่ายภาคพื้นดินยังไม่ครอบคลุมพื้นที่ได้มากเท่าดาวเทียม ในอนาคต การขยายโครงข่ายดังกล่าวจะเป็นอุปสรรคโดยตรงต่อธุรกิจส่งสัญญาณผ่านดาวเทียม ในขณะเดียวกัน คู่แข่งจากต่างประเทศอาจทำให้ภาวะการแข่งขันรุนแรงขึ้นแม้ปัจจุบันผู้ให้บริการแต่ละรายจะมีฐานลูกค้าที่แน่นอนในตลาดแต่ละประเภทแล้วก็ตาม นอกจากนี้ การที่ช่องสัญญาณดาวเทียมในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกอยู่ในภาวะเกินความต้องการเล็กน้อยอาจนำมาซึ่งการแข่งขันในด้านราคาในอนาคต ในขณะที่กฎระเบียบในการควบคุมผู้ให้บริการดาวเทียมยังไม่ชัดเจนจากความล่าช้าในการแต่งตั้งคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) ทำให้ในปัจจุบันยังไม่สามารถประเมินถึงผลกระทบของกฎระเบียบที่จะมีต่อบริษัท
ณ ไตรมาส 3 ของปี 2543 บริษัทมีผลการดำเนินงานด้านการเงินในระดับที่น่าพอใจจากกระแสเงินสดที่ดีขึ้น โดยอัตรากำไรก่อนค่าเสื่อม ภาษี และดอกเบี้ยต่อดอกเบี้ยจ่ายได้เพิ่มขึ้นจาก 3.48 เท่าในปี 2542 เป็น 5.10 เท่า และอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินรวมได้เพิ่มขึ้นจาก 25.08% ในปี 2542 เป็น 26.74% สำหรับผลประกอบการใน 9 เดือนแรกของปี 2543 แม้ว่าอัตรากำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายจะลดลงมาอยู่ที่ระดับ 60.66% ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2543 แต่อัตราผลตอบแทนต่อแหล่งเงินทุนถาวรได้เพิ่มขึ้นเป็น 11.64% สำหรับผลประกอบการงวด 9 เดือนแรก ณ สิ้นไตรมาส 3 ของปี 2543 บริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินต่อแหล่งเงินทุนรวมที่ 62% ซึ่งไม่เปลี่ยนแปลงจากปีก่อน อย่างไรก็ตาม อัตราภาระหนี้ดังกล่าวจะคงยังไม่ดีขึ้นใน 2-3 ปีข้างหน้าเนื่องจากภาระหนี้ใหม่ที่จะเกิดจากโครงการไอพีสตาร์