บริษัท ไทยเรทติ้งแอนด์อินฟอร์เมชั่นเซอร์วิส จำกัด (ทริส) ประกาศผลอันดับเครดิตองค์กรบริษัท เทเลคอมเอเซีย คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ "BBB" โดยอันดับเครดิตสะท้อนสถานภาพผู้นำธุรกิจโทรศัพท์พื้นฐานในเขตกรุงเทพฯ ความได้เปรียบจากการเป็นผู้ให้บริการโทรคมนาคมแบบครบวงจร และความสามารถของทีมบริหารที่เชี่ยวชาญ บริษัทยังได้รับการสนับสนุนที่แข็งแกร่งจากผู้ถือหุ้นใหญ่คือกลุ่มซีพี และ Verizon Communications ทว่าฐานะการเงินที่ค่อนข้างอ่อนแอจากภาระหนี้จำนวนมาก และความไม่แน่นอนของกฎระเบียบด้านโทรคมนาคมเป็นปัจจัยลบสำคัญต่ออันดับเครดิต ในขณะเดียวกันธุรกิจโทรศัพท์พื้นฐานซึ่งเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญของบริษัทอาจได้รับผลกระทบจากการเติบโตอย่างรวดเร็วของธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ซึ่งเป็นสินค้าที่ใช้ทดแทนกันได้ในระดับหนึ่ง
ทริสรายงานว่าบริษัทเทเลคอมเอเซีย คอร์ปอเรชั่นได้รับสัมปทานระยะเวลา 25 ปี สิ้นสุดปี 2560 จากองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย (ทศท.) ในการเป็นผู้ให้บริการโทรศัพท์พื้นฐาน 2.6 ล้านเลขหมายในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ปัจจุบันมีผู้ให้บริการธุรกิจโทรศัพท์พื้นฐานในเขตกรุงเทพฯ 2 รายคือบริษัทและ ทศท. ในปี 2539 บริษัทได้ก่อสร้างโครงข่ายเสร็จสมบูรณ์ และสามารถเพิ่มส่วนแบ่งตลาดอย่างต่อเนื่องจาก 2% ในปี 2536 เป็น 53% ณ กลางปี 2544 ทริสกล่าวว่าความได้เปรียบในการแข่งขันที่สำคัญของบริษัทเกิดจากนโยบายการตลาดเชิงรุก นอกจากนี้ ทีมผู้บริหารที่เชี่ยวชาญยังทำให้บริษัทเป็นหนึ่งในผู้ให้บริการสื่อสารโทรคมนาคมที่ครบวงจรที่สุดรายหนึ่งของประเทศ บริการที่หลากหลายของบริษัทจากการใช้โครงข่ายใยแก้วนำแสงพื้นฐานร่วมกันก่อให้เกิดประโยชน์ที่ดีทางธุรกิจ บริษัทยังได้รับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องจากกลุ่มผู้ถือหุ้นรายใหญ่ โดยเฉพาะความช่วยเหลือในด้านธุรกิจ ด้านเทคนิคและปฏิบัติการ รวมถึงผู้เชี่ยวชาญในสายงานต่างๆ
อย่างไรก็ตาม จากการลงทุนเป็นเงินจำนวนมากในการก่อสร้างโครงข่ายและการเปลี่ยนแปลงระบบอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราในปี 2540 ทำให้ฐานะการเงินของบริษัทค่อนข้างอ่อนแอ แม้จะได้ปรับโครงสร้างหนี้และเพิ่มทุนจดทะเบียนในปี 2543 แล้ว แต่อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อแหล่งเงินทุนยังคงสูงที่ระดับ 88.20% ณ สิ้นปี 2543 และได้เพิ่มขึ้นเป็น 92.89% ณ กลางปี 2544 เนื่องจากส่วนของผู้ถือหุ้นลดลง บริษัทมีอัตรากำไรจากการดำเนินงานในเกณฑ์ดีที่ 45.99% แต่อัตราผลตอบแทนต่อเงินทุนถาวรยังอยู่ในระดับค่อนข้างต่ำที่ 1.69% ณ กลางปี 2544 เช่นเดียวกับเงินทุนจากการดำเนินงานซึ่งมีสัดส่วนเพียง 7.41% ของเงินกู้รวม (เพิ่มขึ้นจาก 6.27% ในปี 2543) และมีอัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคาต่อดอกเบี้ยจ่ายที่ระดับ 1.75 เท่า ซึ่งลดลงจาก 2.33 เท่าในปี 2543 ส่วนหนึ่งเนื่องมาจากการรับรู้ผลกำไรและขาดทุนของบริษัทย่อยต่างๆ ซึ่งถ้าไม่รวมรายการดังกล่าวแล้ว จะทำให้อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคาต่อดอกเบี้ยจ่ายเพิ่มขึ้นเป็น 2.06 เท่า ณ กลางปี 2544 จาก 1.87 เท่าในปี 2543
แผนการที่บริษัทจะออกหุ้นกู้สกุลเงินบาทเพื่อชำระคืนหนี้เงินกู้สกุลต่างประเทศส่วนหนึ่งและการแปลงหนี้เงินกู้สกุลต่างประเทศเป็นเงินบาทอีกส่วนหนึ่ง จะช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนที่จะมีผลต่อจำนวนเงินกู้เป็นอย่างมาก นอกจากนี้ การแลกหุ้นที่ดำเนินการใกล้สำเร็จกับ บริษัท กรุงเทพอินเตอร์เทเลเทค จำกัด ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้น 99% ในบริษัทผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่รายใหม่คือ ซีพี ออเร้นจ์ จะช่วยสร้างความแข็งแกร่งให้แก่โครงสร้างเงินทุนของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ ในขณะที่ภาระหนี้สินจะยังคงอยู่ในระดับสูงต่อไป
ทริสกล่าวว่าการที่โทรศัพท์เคลื่อนที่ได้รับความนิยมและมีอัตราการเติบโตของธุรกิจที่สูงมากอาจส่งผลกระทบต่ออัตราการเติบโตของธุรกิจโทรศัพท์พื้นฐานและโทรศัพท์พกพาแบบ PCT โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อรายได้จากการใช้โทรศัพท์พื้นฐานทางไกลในประเทศเนื่องจากโทรศัพท์เคลื่อนที่มีค่าบริการที่ถูกกว่า ซึ่งทริสคาดว่าผลกระทบนี้จะต่อเนื่องไปในอนาคต อย่างไรก็ตาม โทรศัพท์พื้นฐานจะได้รับผลดีจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากการติดต่อเข้าสู่ระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ ความล่าช้าของการเปิดเสรีอุตสาหกรรมโทรคมนาคมในประเทศยังสร้างความไม่ชัดเจนต่อสภาวะแวดล้อมของธุรกิจในอนาคต โดยเฉพาะผลกระทบที่จะมีต่อผู้ประกอบการ การจัดตั้งองค์กรอิสระคือคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กทช. เพื่อทำหน้าที่กำกับดูแลกฎระเบียบต่างๆ ของธุรกิจนี้ถูกเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด ในขณะเดียวกันการเข้าสู่กระบวนการแปรสัญญาสัมปทานอาจจะส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัทในอนาคตในทางใดทางหนึ่ง ซึ่งยังไม่สามารถคาดการได้แน่ชัดในขณะนี้ ทริสกล่าว -- จบ
ทริสรายงานว่าบริษัทเทเลคอมเอเซีย คอร์ปอเรชั่นได้รับสัมปทานระยะเวลา 25 ปี สิ้นสุดปี 2560 จากองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย (ทศท.) ในการเป็นผู้ให้บริการโทรศัพท์พื้นฐาน 2.6 ล้านเลขหมายในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ปัจจุบันมีผู้ให้บริการธุรกิจโทรศัพท์พื้นฐานในเขตกรุงเทพฯ 2 รายคือบริษัทและ ทศท. ในปี 2539 บริษัทได้ก่อสร้างโครงข่ายเสร็จสมบูรณ์ และสามารถเพิ่มส่วนแบ่งตลาดอย่างต่อเนื่องจาก 2% ในปี 2536 เป็น 53% ณ กลางปี 2544 ทริสกล่าวว่าความได้เปรียบในการแข่งขันที่สำคัญของบริษัทเกิดจากนโยบายการตลาดเชิงรุก นอกจากนี้ ทีมผู้บริหารที่เชี่ยวชาญยังทำให้บริษัทเป็นหนึ่งในผู้ให้บริการสื่อสารโทรคมนาคมที่ครบวงจรที่สุดรายหนึ่งของประเทศ บริการที่หลากหลายของบริษัทจากการใช้โครงข่ายใยแก้วนำแสงพื้นฐานร่วมกันก่อให้เกิดประโยชน์ที่ดีทางธุรกิจ บริษัทยังได้รับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องจากกลุ่มผู้ถือหุ้นรายใหญ่ โดยเฉพาะความช่วยเหลือในด้านธุรกิจ ด้านเทคนิคและปฏิบัติการ รวมถึงผู้เชี่ยวชาญในสายงานต่างๆ
อย่างไรก็ตาม จากการลงทุนเป็นเงินจำนวนมากในการก่อสร้างโครงข่ายและการเปลี่ยนแปลงระบบอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราในปี 2540 ทำให้ฐานะการเงินของบริษัทค่อนข้างอ่อนแอ แม้จะได้ปรับโครงสร้างหนี้และเพิ่มทุนจดทะเบียนในปี 2543 แล้ว แต่อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อแหล่งเงินทุนยังคงสูงที่ระดับ 88.20% ณ สิ้นปี 2543 และได้เพิ่มขึ้นเป็น 92.89% ณ กลางปี 2544 เนื่องจากส่วนของผู้ถือหุ้นลดลง บริษัทมีอัตรากำไรจากการดำเนินงานในเกณฑ์ดีที่ 45.99% แต่อัตราผลตอบแทนต่อเงินทุนถาวรยังอยู่ในระดับค่อนข้างต่ำที่ 1.69% ณ กลางปี 2544 เช่นเดียวกับเงินทุนจากการดำเนินงานซึ่งมีสัดส่วนเพียง 7.41% ของเงินกู้รวม (เพิ่มขึ้นจาก 6.27% ในปี 2543) และมีอัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคาต่อดอกเบี้ยจ่ายที่ระดับ 1.75 เท่า ซึ่งลดลงจาก 2.33 เท่าในปี 2543 ส่วนหนึ่งเนื่องมาจากการรับรู้ผลกำไรและขาดทุนของบริษัทย่อยต่างๆ ซึ่งถ้าไม่รวมรายการดังกล่าวแล้ว จะทำให้อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคาต่อดอกเบี้ยจ่ายเพิ่มขึ้นเป็น 2.06 เท่า ณ กลางปี 2544 จาก 1.87 เท่าในปี 2543
แผนการที่บริษัทจะออกหุ้นกู้สกุลเงินบาทเพื่อชำระคืนหนี้เงินกู้สกุลต่างประเทศส่วนหนึ่งและการแปลงหนี้เงินกู้สกุลต่างประเทศเป็นเงินบาทอีกส่วนหนึ่ง จะช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนที่จะมีผลต่อจำนวนเงินกู้เป็นอย่างมาก นอกจากนี้ การแลกหุ้นที่ดำเนินการใกล้สำเร็จกับ บริษัท กรุงเทพอินเตอร์เทเลเทค จำกัด ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้น 99% ในบริษัทผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่รายใหม่คือ ซีพี ออเร้นจ์ จะช่วยสร้างความแข็งแกร่งให้แก่โครงสร้างเงินทุนของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ ในขณะที่ภาระหนี้สินจะยังคงอยู่ในระดับสูงต่อไป
ทริสกล่าวว่าการที่โทรศัพท์เคลื่อนที่ได้รับความนิยมและมีอัตราการเติบโตของธุรกิจที่สูงมากอาจส่งผลกระทบต่ออัตราการเติบโตของธุรกิจโทรศัพท์พื้นฐานและโทรศัพท์พกพาแบบ PCT โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อรายได้จากการใช้โทรศัพท์พื้นฐานทางไกลในประเทศเนื่องจากโทรศัพท์เคลื่อนที่มีค่าบริการที่ถูกกว่า ซึ่งทริสคาดว่าผลกระทบนี้จะต่อเนื่องไปในอนาคต อย่างไรก็ตาม โทรศัพท์พื้นฐานจะได้รับผลดีจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากการติดต่อเข้าสู่ระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ ความล่าช้าของการเปิดเสรีอุตสาหกรรมโทรคมนาคมในประเทศยังสร้างความไม่ชัดเจนต่อสภาวะแวดล้อมของธุรกิจในอนาคต โดยเฉพาะผลกระทบที่จะมีต่อผู้ประกอบการ การจัดตั้งองค์กรอิสระคือคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กทช. เพื่อทำหน้าที่กำกับดูแลกฎระเบียบต่างๆ ของธุรกิจนี้ถูกเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด ในขณะเดียวกันการเข้าสู่กระบวนการแปรสัญญาสัมปทานอาจจะส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัทในอนาคตในทางใดทางหนึ่ง ซึ่งยังไม่สามารถคาดการได้แน่ชัดในขณะนี้ ทริสกล่าว -- จบ