ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันในวงเงินไม่เกิน 54,000 ล้านบาทของ บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “A+” พร้อมทั้งคงอันดับเครดิตองค์กรของบริษัทที่ระดับ “A+” โดยแนวโน้มยังคง “Stable” หรือ “คงที่” ทั้งนี้ อันดับเครดิตของหุ้นกู้ชุดใหม่ใช้แทนอันดับเครดิตหุ้นกู้เดิมที่ได้รับการจัดอันดับเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2559 เนื่องจากบริษัทมีความประสงค์จะเพิ่มวงเงินรวมของหุ้นกู้เป็นไม่เกิน 54,000 ล้านบาท จากเดิมไม่เกิน 50,000 ล้านบาท โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปชำระหนี้เงินกู้ยืม ทั้งนี้ อันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะการแข่งขันที่แข็งแกร่งในธุรกิจหลักของบริษัท ตลอดจนธุรกิจและแหล่งรายได้ที่มีความหลากหลาย การมีตลาดที่ครอบคลุมกว้างขวาง และผลิตภัณฑ์ที่มีตราสินค้าที่มีชื่อเสียง การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงการที่บริษัทได้ซื้อหุ้นในสัดส่วน 97.9% ของหุ้นทั้งหมดของ บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือบิ๊กซี ตลอดจนประโยชน์ที่จะได้จากการผสานพลังทางธุรกิจระหว่างธุรกิจที่มีอยู่เดิมของบริษัทกับร้านค้าปลีกของบิ๊กซีอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งดังกล่าวมีข้อจำกัดบางส่วนจากภาวะการแข่งขันที่รุนแรง รวมถึงเศรษฐกิจที่ซบเซาซึ่งส่งผลต่อการใช้จ่ายของผู้บริโภค และภาระหนี้ที่เพิ่มสูงขึ้นของบริษัทจากการก่อหนี้เพื่อการขยายกิจการ
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงความคาดหมายของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะสามารถคงความแข็งแกร่งในการแข่งขันในสายธุรกิจหลักของบริษัทเอาไว้ได้ นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดหวังว่าการรวมกิจการกับบิ๊กซีจะเป็นไปอย่างราบรื่นโดยปราศจากการเพิ่มขึ้นของต้นทุนหรือมีค่าใช้จ่ายฝ่ายทุนที่สูงกว่าที่คาดไว้ อีกทั้งยังคาดหวังให้บริษัทปรับเพิ่มสถานะทางการเงินให้แข็งแกร่งขึ้นโดยเร็ว
ความเสี่ยงจากการถูกปรับลดอันดับเครดิตของบริษัทจะเกิดจากการปรับโครงสร้างเงินทุนตลอดจนการลดลงของภาระหนี้สินที่ช้ากว่าคาด หรือหากผลการดำเนินงานของบริษัทอ่อนแอลงกว่าที่คาดไว้อย่างมีนัยสำคัญซึ่งจะส่งผลต่อโครงสร้างเงินทุนและความสามารถในการชำระหนี้ที่อ่อนแอลงเป็นระยะเวลานาน ในขณะที่โอกาสปรับขึ้นของอันดับเครดิตในช่วงระยะเวลาปานกลางอาจมีข้อจำกัดเมื่อพิจารณาถึงภาระหนี้ก้อนใหญ่ที่มีอยู่ อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตอาจะถูกปรับเพิ่มขึ้นได้หากการรวมกิจการครั้งนี้ก่อให้เกิดการผสานพลังทางธุรกิจที่เกิดผลดีอย่างมีนัยสำคัญต่อบริษัท
ณ เดือนมิถุนายน 2559 บริษัทเบอร์ลี่ ยุคเกอร์ มีผู้ถือหุ้นใหญ่ คือ บริษัท ทีซีซี คอร์ปอเรชั่น จำกัด ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ของไทยที่ประกอบธุรกิจในอุตสาหกรรมหลากหลายประเภท โดยมีสัดส่วนการถือหุ้น 73.8% ของหุ้นทั้งหมดของบริษัท บริษัทเบอร์ลี่ ยุคเกอร์ ดำเนินการผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าประเภทขวดแก้วและกระป๋อง ตลอดจนสินค้าและบริการด้านอุปโภคบริโภค รวมถึงยารักษาโรคและอุปกรณ์ทางการแพทย์ ในปี 2559 บริษัทขยายเข้าสู่ธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ขนาดใหญ่ โดยซื้อกิจการบิ๊กซี ผู้นำด้านธุรกิจห้างค้าปลีกสมัยใหม่สำหรับผลิตภัณฑ์ประเภทอาหารและสินค้าอุปโภคบริโภคในประเทศไทย บริษัทได้รวมผลการดำเนินงานของบิ๊กซีในงบการเงินรวมของบริษัทตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคม 2559 โดยจัดให้บิ๊กซีเป็นสายธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ของบริษัท
ในปี 2558 บริษัทมียอดขายทั้งสิ้น 42,893 ล้านบาท โดยกลุ่มธุรกิจด้านบรรจุภัณฑ์สร้างรายได้ให้แก่บริษัทสูงสุดคิดเป็น 41% ของยอดขายรวม สำหรับช่วง 6 เดือนแรกของปี 2559 บริษัทมีรายได้จากการขายและรายได้ค่าเช่ารวม 58,080 ล้านบาท โดยกลุ่มธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่สร้างรายได้หลักคิดเป็นประมาณ 65% ของรายได้รวมของบริษัท อีก 16% มาจากรายได้จากกลุ่มธุรกิจด้านบรรจุภัณฑ์สินค้า และ 14% เป็นรายได้จากการกลุ่มธุรกิจด้านอุปโภคบริโภค
สถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งของบริษัทได้รับแรงเสริมจากความหลากหลายของธุรกิจ แหล่งรายได้ และตลาดรองรับสินค้าที่ครอบคลุม สินค้าและบริการของบริษัทเข้าถึงผู้บริโภคในหลายประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผลิตภัณฑ์ในสายธุรกิจหลักของบริษัทมีสถานะทางการแข่งขันที่แข็งแกร่งซึ่งเป็นปัจจัยเสริมสร้างความเข้มแข็งที่สำคัญให้แก่บริษัท บริษัทเป็นหนึ่งในผู้ผลิตชั้นนำภายในประเทศในกลุ่มธุรกิจบรรจุภัณฑ์ (ขวดแก้วและกระป๋องอลูมิเนียม) และธุรกิจสินค้าอุปโภค (กระดาษทิชชู ขนมขบเคี้ยว และผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนตัว) นอกจากนี้ ความแข็งแกร่งในกลุ่มสินค้าและบริการด้านอุปโภคบริโภคของบริษัทยังได้รับแรงหนุนจากตราสินค้าชั้นนำต่าง ๆ ด้วย เช่น เซลล็อกซ์ ซิลค์ เทสโต โดโซะ และนกแก้ว
บริษัทซื้อหุ้นในสัดส่วน 97.9% ของหุ้นทั้งหมดของบิ๊กซี ซึ่งเป็นไปตามกลยุทธ์ของบริษัทที่วางไว้โดยมุ่งหวังจะเป็นผู้นำธุรกิจการค้าในระดับภูมิภาคที่ครอบคลุมทั้งในด้านค้าปลีกและค้าส่ง การลงทุนนี้มีมูลค่าทั้งสิ้นเกือบ 210,000 ล้านบาท โดยในช่วงแรกบริษัทใช้เงินกู้ระยะสั้นเป็นเงินทุนในการเข้าซื้อกิจการ ปัจจุบันบริษัทอยู่ในช่วงปรับโครงสร้างเงินทุนซึ่งผสมผสานระหว่างการเพิ่มทุนโดยออกหุ้นสามัญใหม่และการกู้เงินระยะยาวเพื่อชำระคืนหนี้เงินกู้ระยะสั้น บริษัทได้รับเงินสดประมาณ 83,600 ล้านบาทจากการจัดสรรหุ้นใหม่ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วน นอกจากนี้ บริษัทจะกู้เงินระยะยาว และ/หรือออกหุ้นกู้รวมทั้งสิ้น 130,000 ล้านบาท การปรับโครงสร้างเงินทุนในครั้งนี้จะช่วยลดระดับเงินกู้รวมที่เกิดจากการซื้อกิจการตลอดจนลดภาระดอกเบี้ยอีกด้วย นอกจากนี้ บริษัทยังสามารถลดความเสี่ยงที่เกิดจากการใช้เงินกู้ระยะสั้นก้อนใหญ่ได้อีกเช่นกัน อีกทั้งยังคาดหวังว่าในช่วงระยะเวลาปานกลาง ผลการดำเนินงานของบริษัทจะปรับตัวดีขึ้นและทยอยลดภาระหนี้ลงจนสถานะทางการเงินกลับมาใกล้เคียงกับช่วงก่อนทำธุรกรรม
ธุรกิจค้าปลีกของบิ๊กซีจะสร้างความแข็งแกร่งทางธุรกิจและเสริมสร้างสถานะทางการแข่งขันให้แก่บริษัทยิ่งขึ้น ปัจจุบันบิ๊กซีบริหารร้านค้าปลีกสมัยใหม่ขนาดใหญ่ (Hypermarket) จำนวน 127 แห่งและร้านค้าปลีกขนาดเล็กอีกจำนวนมาก สถานะทางการแข่งขันของบิ๊กซีมีความแข็งแกร่งโดยเป็นหนึ่งในผู้ประกอบธุรกิจร้านค้าปลีกสมัยใหม่ขนาดใหญ่จำนวน 2 รายหลักในประเทศไทย สำหรับปี 2558 บิ๊กซีมีรายได้ประมาณ 129,000 ล้านบาทและมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายเกือบ 13,000 ล้านบาท คาดว่าในปี 2559 รายได้รวมของบริษัทหลังควบรวมกิจการกับบิ๊กซีเมื่อปรับเป็นตัวเลขเต็มปีแล้วจะอยู่ที่ประมาณ 170,000 ล้านบาท และจะมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายเกือบ 20,000 ล้านบาท กลุ่มธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่จะสร้างรายได้ให้แก่บริษัทคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 75% ของรายได้รวมของบริษัท
อัตรากำไรจากการดำเนินงาน (กำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้จากการขาย) ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2559 อยู่ที่ 9.5% หลังจากได้รวมผลการดำเนินงานของบิ๊กซีเข้ามา เปรียบเทียบกับระดับ 10%-12% ในช่วงปี 2556-2558 โดยลักษณะทั่วไปของการทำธุรกิจค้าปลีกของบิ๊กซีจะมีอัตรากำไรต่ำกว่าธุรกิจที่มีอยู่เดิมของบริษัท นอกจากนี้ ต้นทุนวัตถุดิบบางส่วนสำหรับสินค้าอุปโภคบริโภคปรับตัวสูงขึ้นส่งผลให้อัตรากำไรของบริษัทลดลง เงินทุนจากการดำเนินงานของบริษัทอยู่ที่ 5,200 ล้านบาทสำหรับช่วง 6 เดือนแรกของปี 2559 และคาดว่าจะอยู่ที่ระดับมากกว่า 14,000 ล้านบาทในปี 2559 และอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนจะอยู่ที่ระดับประมาณ 60% ในปี 2559 การรวมกิจการกับบิ๊กซีจะก่อให้เกิดประโยชน์แก่บริษัทในด้านการประหยัดต่อขนาดและการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ การผสานพลังทางธุรกิจที่อาจเกิดขึ้นจะประกอบด้วยการรวมจัดซื้อ การบริหารเงินสด ระบบกระจายสินค้า การรวมข้อมูล และทรัพยากรด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ นอกจากนี้ บริษัทยังคาดหวังที่จะเพิ่มจำนวนผลิตภัณฑ์สินค้าอุปโภคและผลิตภัณฑ์อาหารต่าง ๆ ภายใต้ตราสินค้าของบิ๊กซีด้วย อย่างไรก็ตาม การประหยัดต้นทุนซึ่งเกิดจากประโยชน์ที่ได้จากการผสานพลังทางธุรกิจและการประหยัดจากขนาดอาจต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่งจึงจะปรากฏผล
ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้รวมของบริษัทในช่วง 3 ปีข้างหน้าจะเติบโตในระดับปานกลาง โดยมีแรงขับเคลื่อนจากธุรกิจด้านบรรจุภัณฑ์และการผสานพลังทางธุรกิจของกลุ่มโดยรวม อัตรากำไรจากการดำเนินงานจะค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้นโดยได้รับประโยชน์จากการประหยัดต้นทุนและการใช้สินทรัพย์อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทริสเรทติ้งคาดว่าในช่วงปี 2559-2561 บริษัทจะมีค่าใช้จ่ายฝ่ายทุนโดยรวมประมาณ 30,000 ล้านบาท เพื่อใช้เป็นเงินลงทุนในการขยายสาขาร้านค้าปลีกและเพิ่มกำลังการผลิตในธุรกิจด้านบรรจุภัณฑ์และธุรกิจสินค้าและบริการด้านอุปโภคบริโภค ทริสเรทติ้งคาดหวังว่าบริษัทจะไม่มีการลงทุนขนาดใหญ่หรือซื้อกิจการขนาดใหญ่ใด ๆ ในช่วง 3 ปีข้างหน้า นอกจากนี้ ยังคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินสุทธิรวมต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายจะอยู่ที่ระดับประมาณ 7 เท่าในปี 2559 และลดลงมาอยู่ต่ำกว่า 4 เท่าในช่วงระยะปานกลาง
เมื่อพิจารณาโครงสร้างงบดุลในปัจจุบันของบริษัทและบริษัทย่อยแล้วหนี้สินของบริษัทจะอยู่ในสถานะด้อยสิทธิทางโครงสร้าง (Structural Subordination) เมื่อเปรียบเทียบกับหนี้สินของบิ๊กซี อย่างไรก็ตาม มติที่ประชุมกรรมการของบริษัทเมื่อเดือนกรกฎาคม 2559 ที่ผ่านมาเห็นชอบให้บริษัทสามารถเป็นผู้กู้ยืมเงินจากเจ้าหนี้สถาบันการเงินแทนบริษัทย่อยได้ ภายใต้แผนดังกล่าว เงินกู้ยืมจากภายนอกบางส่วนของบิ๊กซีจะค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นเงินกู้จากบริษัท การเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้จะลดผลกระทบจากการด้อยสิทธิทางโครงสร้างในหุ้นกู้ของบริษัทลง ดังนั้น เมื่อพิจารณาจากผลของนโยบายดังกล่าวแล้ว อันดับเครดิตของหุ้นกู้ชุดใหม่ของบริษัทจะอยู่ในระดับเดียวกับอันดับเครดิตองค์กรของบริษัท
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com ติดต่อ santaya@trisrating.com โทร. 0-2231-3011 ต่อ 500 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500 ? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2559 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html