ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “A+” พร้อมทั้งคงอันดับเครดิตหุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุนของบริษัทที่ระดับ “A-” ทั้งนี้ หุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุนซึ่งมีอันดับเครดิตต่ำกว่าอันดับเครดิตองค์กรของบริษัทอยู่ 2 ขั้นสะท้อนถึงลักษณะการด้อยสิทธิและความเสี่ยงที่ผู้ถือตราสารอาจถูกเลื่อนนัดการชำระดอกเบี้ยของตราสารดังกล่าวได้ พร้อมกันนี้ทริสเรทติ้งยังจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 5,000 ล้านบาทของบริษัทที่ระดับ "A+" ด้วยเช่นกัน โดยแนวโน้มยังคง “Stable” หรือ “คงที่” โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้รับจากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปใช้ชำระหนี้เดิมรวมถึงการดำเนินธุรกิจของบริษัท
อันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ของบริษัทอินโดรามา เวนเจอร์ส สะท้อนถึงการเป็นผู้ผลิตชั้นนำระดับโลกในธุรกิจห่วงโซ่โพลีเอสเตอร์ ตลอดจนความได้เปรียบในการแข่งขันของบริษัทจากการมีระบบการผลิตที่ครบวงจร (Vertical Integration) รวมถึงการมีฐานการผลิตและฐานลูกค้าที่กระจายตัวทั่วโลก และความสำเร็จในการเพิ่มสัดส่วนสินค้าที่มีมูลค่าสูง (High-Value-Added -- HVA) ในการพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงความสามารถและประสบการณ์ของคณะผู้บริหารของบริษัท รวมทั้งการเข้าถึงเทคโนโลยีสำคัญของอุตสาหกรรมด้วย อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตดังกล่าวมีข้อจำกัดจากลักษณะที่ผันผวนของอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจโลก และการที่บริษัทมีเงินกู้ในสัดส่วนที่สูง
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงสมมติฐานของทริสเรทติ้งว่าอัตรากำไรของอุตสาหกรรมจะค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้นจากระดับปัจจุบัน นอกจากนี้ บริษัทน่าจะยังคงรักษาความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอ รวมถึงรักษาสภาพคล่องที่เพียงพอเพื่อรองรับความผันผวนที่เกิดจากอุตสาหกรรมปิโตรเคมีด้วย ทั้งนี้ ปัจจัยที่มีผลลบต่ออันดับเครดิตของบริษัท ได้แก่ ภาวะขาลงของอุตสาหกรรมที่ยังคงดำเนินต่อไปจนส่งผลให้อัตรากำไรของบริษัทลดลงและส่งผลให้อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมที่ปรับปรุงแล้วของบริษัทต่ำกว่า 15% อย่างต่อเนื่อง
ในขณะที่ปัจจัยบวกต่ออันดับเครดิตของบริษัท ได้แก่ การที่บริษัทมีเงินทุนจากการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญและอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมที่ปรับปรุงแล้วของบริษัทอยู่ในระดับสูงเกินกว่า 25% อย่างต่อเนื่อง
บริษัทก่อตั้งเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2546 โดยกลุ่มตระกูลโลเฮีย (Lohia) ในฐานะเป็นบริษัทเพื่อการลงทุนและได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2553 โดย ณ เดือนมิถุนายน 2559 กลุ่มตระกูลโลเฮียมีสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัท 66.4% ธุรกิจหลักของบริษัทประกอบด้วย กลุ่มธุรกิจ Polyethylene Terephthalate (PET) กลุ่มธุรกิจไฟเบอร์ และกลุ่มธุรกิจวัตถุดิบ (Feedstock) ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2559 บริษัทมีกำลังการผลิตติดตั้ง 10.6 ล้านตันต่อปี โดยประมาณ 44% เป็นกำลังการผลิตของกลุ่มธุรกิจ PET อีก 14% เป็นกำลังการผลิตของกลุ่มธุรกิจไฟเบอร์ และอีก 42% เป็นกำลังการผลิตของกลุ่มธุรกิจ Feedstock กลุ่มธุรกิจ PET ประกอบด้วยการผลิตเม็ดพลาสติก PET และการผลิตพลาสติกขึ้นรูปขวดพลาสติก PET (Preform) ในขณะที่กลุ่มธุรกิจไฟเบอร์ประกอบด้วยการผลิตเส้นใยและเส้นดายโพลีเอสเตอร์ รวมถึงผลิตภัณฑ์ HVA อื่น ๆ เช่น เส้นด้ายไนลอน (Nylon) และเส้นใยผสม เป็นต้น ส่วนกลุ่มธุรกิจ Feedstock ส่วนใหญ่จะประกอบด้วยการผลิต PTA และ Monoethylene Glycol (MEG) ซึ่งผลิตภัณฑ์ทั้ง 2 ประเภทเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตพลาสติก PET และเส้นใยโพลีเอสเตอร์ นอกจากนี้ยังรวมถึง Feedstock ที่มีมูลค่าสูง เช่น Purified Ethylene Oxide (PEO) และ Isophthalic Acid (IPA)
ฐานการผลิตของบริษัทกระจายอยู่ทั่วโลก โดย ณ เดือนมิถุนายน 2559 บริษัทมีโรงงานทั้งหมด 65 แห่งซึ่งตั้งอยู่ใน 21 ประเทศ ครอบคลุม 4 ทวีป ได้แก่ เอเซีย ยุโรป อเมริกาเหนือ และอาฟริกา รูปแบบธุรกิจของบริษัทเป็นการผลิตแบบครบวงจรและมีฐานการผลิตที่กระจายตัวอยู่ทั่วโลก ซึ่งรูปแบบธุรกิจนี้น่าจะช่วยเพิ่มอัตรากำไรและความสามารถในการแข่งขัน ตลอดจนบรรเทาความเสี่ยงที่บริษัทจะได้รับจากความผันผวนของอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและการกีดกันทางการค้าได้ ตั้งแต่ปี 2558 ถึง 6 เดือนแรกของปี 2559 บริษัทได้ซื้อกิจการ 7 แห่งรวมมูลค่าประมาณ 38,600 ล้านบาท ทำให้กำลังการผลิตของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 7.5 ล้านตันในปี 2557 เป็น 10.6 ล้านตัน ณ เดือนมิถุนายน 2559 การซื้อกิจการในครั้งนี้ประกอบด้วยการซื้อโรงงาน PTA ในประเทศแคนาดาและสเปน โรงงานผลิต Paraxylene (PX) และ PTA แบบครบวงจรในประเทศสหรัฐอเมริกา โรงงานผลิตเส้นใยชนิดพิเศษในประเทศจีน โรงงาน PET ในประเทศตุรกีและไทย นอกจากนี้ บริษัทยังซื้อหุ้นจำนวน 76% ในโรงงานแยกเอทิลีน (ethylene cracker) แห่งหนึ่งด้วย ซึ่งปัจจุบันโรงงานดังกล่าวอยู่ระหว่างการปรับปรุงและคาดว่าจะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในช่วงปลายปี 2560 ทั้งนี้ การลงทุนดังกล่าวจะช่วยให้การผลิตของบริษัทครบวงจรมากยิ่งขึ้น เนื่องจากเอทิลีนเป็นวัตถุดิบในการผลิต MEG
การซื้อกิจการในระหว่างปี 2557 ถึง 6 เดือนแรกของปี 2559 มีส่วนช่วยเพิ่มรายได้ให้แก่บริษัท โดยในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2559 บริษัทมีรายได้ 123,894 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนจากสาเหตุหลักคือปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นมากกว่าราคาขายเฉลี่ยที่ลดลงตามราคาน้ำมันดิบ อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้ของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 7% ในปี 2558 เป็น 9.8% ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2559 โดยส่วนหนึ่งมาจากอัตรากำไรของ PTA ที่ดีขึ้นซึ่งเป็นผลมาจากการซื้อกิจการ PTA ในประเทศแคนาดาและสเปนประกอบกับส่วนต่างราคาของ PTA และวัตถุดิบในเอเซียที่กว้างขึ้นด้วย ในขณะที่สัดส่วนการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ HVA เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ช่วยให้อัตรากำไรของบริษัทสูงขึ้น ในปี 2556 บริษัทผลิตผลิตภัณฑ์ HVA ประมาณ 19% ของการผลิตทั้งหมดของบริษัทและเพิ่มขึ้นเป็น 22% ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2559 ในส่วนของกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ต่อตันของการผลิตนั้นก็เพิ่มขึ้นจาก 81 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตันในปี 2558 เป็น 88 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตันในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2559 อย่างไรก็ตาม กำไรดังกล่าวต่ำกว่าในช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 96 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตัน ทั้งนี้ ส่วนหนึ่งเนื่องมาจากการเกิดเหตุสุดวิสัยซึ่งเป็นเหตุให้ต้องประกาศหยุดโรงงาน MEG ในประเทศสหรัฐอเมริกานานเกือบ 2 เดือน ซึ่งตามปกติโรงงานนี้จะสร้าง EBITDA คิดเป็น 20%-25% ของ EBITDA รวมของบริษัท
บริษัทมีเงินกู้รวมซึ่งปรับปรุงด้วยหุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุน (เงินกู้รวมที่ปรับปรุงแล้ว) เพิ่มขึ้นจากการซื้อกิจการในช่วงที่ผ่านมา โดย ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2559 บริษัทมีเงินกู้รวมที่ปรับปรุงแล้วจำนวน 114,391 ล้านบาทและมีอัตราส่วนเงินกู้รวมที่ปรับปรุงแล้วต่อโครงสร้างเงินทุนที่ 58.3% ภาวะขาลงของอุตสาหกรรมปิโตรเคมีในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาส่งผลให้อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมที่ปรับปรุงแล้วของบริษัทอยู่ระหว่าง 12%-16% ในช่วงปี 2556 ถึง 2558 อย่างไรก็ตาม ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2559 เงินทุนจากการดำเนินงานของบริษัทเพิ่มขึ้น 8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็น 9,639 ล้านบาท โดยส่วนหนึ่งมาจากการรับรู้ผลการดำเนินงานของกิจการที่เข้าซื้อเมื่อเร็ว ๆ นี้ ในอนาคตคาดว่าอัตราส่วนทางการเงินของบริษัทจะดีขึ้นจากระดับปัจจุบันเนื่องจากบริษัทมีนโยบายที่จะชะลอการซื้อกิจการและมุ่งเน้นดำเนินงานของกิจการปัจจุบันก่อน ซึ่งจะช่วยลดแรงกดดันด้านภาระหนี้ในระยะ 2 ปีข้างหน้าลง โดยประมาณการพื้นฐานของทริสเรทติ้งได้พิจารณาถึงแผนการลงทุนของบริษัทซึ่งรวมถึงการซ่อมบำรุง รวมถึงการขยายกำลังการผลิตสำหรับโรงงานที่มีอยู่ในปัจจุบัน และการปรับปรุง Ethylene cracker ในประเทศสหรัฐอเมริกาด้วย โดยคาดว่าบริษัทจะใช้เงินลงทุนประมาณ 76,000 ล้านบาทในระหว่างปี 2559-2562 ซึ่งเงินลงทุนนี้ได้รวมการซื้อกิจการที่เกิดขึ้นในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2559 จำนวนประมาณ 23,000 ล้านบาทไว้แล้วด้วย แผนลงทุนข้างต้นจะทำให้กำลังการผลิตของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 10.6 ล้านตันต่อปีในปี 2559 เป็น 11.9 ล้านตันต่อปีในปี 2562 และกำลังการผลิตในส่วนของ HVA ก็จะเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่ 22% ของการผลิตรวมของบริษัทเป็น 24%-25% ในปี 2562 ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีแผนจัดการภาระหนี้เพื่อรักษาอัตราส่วนเงินกู้สุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นให้อยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 1 เท่าเพื่อให้เป็นไปตามนโยบายของบริษัท จากสมมติฐานการเพิ่มสัดส่วนการผลิต HVA รวมถึงการฟื้นตัวของอุตสาหกรรรม ทริสเรทติ้งประมาณการว่าอัตรากำไร EBITDA ต่อตันของบริษัทจะปรับตัวดีขึ้นจากระดับปัจจุบันในระยะ 3 ปีข้างหน้า โดยคาดว่าบริษัทจะมีเงินทุนจากการดำเนินงานมากกว่า 20,000 ล้านบาทในปี 2560 และจะเพิ่มขึ้นในปีถัดไป ซึ่งเงินทุนจากการดำเนินงานในระดับดังกล่าวจะเพียงพอสำหรับการชำระหนี้ โดยบริษัทมีภาระหนี้ที่จะครบกำหนดชำระในปี 2560 ประมาณ 12,500 ล้านบาท และ 18,800 ล้านบาทในปี 2561 ในขณะที่เงินกู้ประมาณ 12,400 ล้านบาทจะครบกำหนดชำระในปี 2562 นอกจากนี้ ยังคาดว่าบริษัทจะมีอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมที่ปรับปรุงแล้วอยู่ในช่วง 15%-25% ในระยะ 3 ปีข้างหน้าด้วย
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com ติดต่อ santaya@trisrating.com โทร. 0-2231-3011 ต่อ 500 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500 ? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2559 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html