ทริสเรทติ้งปรับเพิ่มอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) เป็นระดับ “AA+” จาก “AA” ด้วยแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” โดยอันดับเครดิตที่เพิ่มขึ้นสะท้อนถึงสถานะทางการเงินของบริษัทที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นซึ่งมีปัจจัยสนับสนุนจากความพยายามในการลดหนี้อย่างต่อเนื่อง ตลอดจนกระแสเงินสดที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งกว่าที่คาด และสถานะทางการเงินที่ดีขึ้น อันดับเครดิตยังได้รับแรงหนุนจากสถานะผู้นำของบริษัทในธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในประเทศไทยและสถานะทางการแข่งขันที่เข้มแข็งของบริษัทในตลาดเครื่องดื่มปราศจากแอลกอฮอล์ด้วย อย่างไรก็ตาม ปัจจัยบวกดังกล่าวมีข้อจำกัดบางส่วนจากผลกระทบของสภาพแวดล้อมที่มีการแข่งขันรุนแรง ตลอดจนกฎระเบียบที่เข้มงวดยิ่งขึ้น และแนวโน้มการปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตในธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงความคาดหมายว่าบริษัทจะยังดำรงสถานะที่แข็งแกร่งในตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ภายในประเทศได้ต่อไปและคงผลการดำเนินงานและสถานะทางการเงินที่ดีไว้ได้
อันดับเครดิตอาจได้รับแรงกดดันให้ต้องปรับลดลงหากสถานะทางการเงินของบริษัทอ่อนแอลงเป็นระยะเวลาต่อเนื่องอันเป็นผลมาจากการทำกำไรที่แย่ลงหรือการใช้เงินกู้เชิงรุก การปรับเพิ่มขึ้นของอันดับเครดิตของบริษัทจะเกิดจากการขยายไปยังตลาดนอกเหนือจากประเทศไทยและภูมิภาคมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นและสร้างรายได้และกำไร ตลอดจนกระแสเงินสดจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นอย่างมาก
บริษัทไทยเบฟเวอเรจก่อตั้งในปี 2546 และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ (Singapore Exchange -- SGX) ในปี 2549 โดยมีตระกูลสิริวัฒนภักดีเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ณ เดือนเมษายน 2559 ในสัดส่วน 68% ของหุ้นทั้งหมดของบริษัท บริษัทไทยเบฟเวอเรจเป็นผู้ประกอบการชั้นนำในธุรกิจเครื่องดื่มและอาหารในประเทศไทย บริษัทยังได้ขยายธุรกิจไปยังตลาดภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยผ่านการควบรวมและซื้อกิจการต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงการซื้อกิจการของ Fraser and Neave, Limited (F&N) ซึ่งบริษัทถือหุ้นในสัดส่วน 28.5% ด้วย
สถานะทางธุรกิจที่แข็งแรงของบริษัทสะท้อนถึงความเป็นผู้นำในแต่ละธุรกิจในประเทศของบริษัท โดยบริษัทครองส่วนแบ่งทางการตลาดในเชิงปริมาณของตลาดสุราสีในประเทศไทย (Off-trade) ประมาณ 95% และเป็นหนึ่งในผู้ผลิตเบียร์รายใหญ่จำนวน 2 รายของประเทศ โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 40% ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2559 เปรียบเทียบกับที่ระดับประมาณ 30% ในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากการวางจำหน่ายเบียร์ช้างรูปลักษณ์ใหม่ในช่วงปลายปี 2558 นอกจากนี้ บริษัทยังเป็นผู้นำในตลาดชาพร้อมดื่มและเป็นหนึ่งในผู้ผลิตเครื่องดื่มน้ำอัดลมรายสำคัญในประเทศไทยด้วย นอกจากธุรกิจเครื่องดื่มแล้ว บริษัท โออิชิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัทยังทำหน้าที่ในการบริหารและดำเนินงานเครือภัตตาคารอาหารญี่ปุ่นรวมทั้งจำหน่ายอาหารแช่แข็งและแช่เย็นและให้บริการจัดส่งอาหารอีกด้วย ณ เดือนมิถุนายน 2559 บริษัทโออิชิมีเครือภัตตาคารรวม 242 สาขา ซึ่งครึ่งหนึ่งของจำนวนสาขาทั้งหมดเป็นร้านชาบูชิ (Shabushi)
ฐานการผลิตของบริษัทในประเทศไทยประกอบด้วย โรงกลั่นสุรา 18 แห่ง โรงเบียร์ 3 แห่ง โรงผลิตเครื่องดื่มปราศจากแอลกอฮอล์มากกว่า 10 แห่ง และครัวกลางอีก 1 แห่ง นอกจากนี้ บริษัทยังมีโรงกลั่นวิสกี้ 5 แห่งในสกอตแลนด์และโรงกลั่นสุราอีก 1 แห่งในประเทศจีนด้วย กลุ่มบริษัทมีเครือข่ายการกระจายสินค้าที่กว้างขวางครอบคลุมร้านจำหน่ายมากกว่า 400,000 แห่งทั่วประเทศ ธุรกิจของ F&N มุ่งเน้นตลาดเครื่องดื่มปราศจากแอลกอฮอล์เป็นหลักซึ่งช่วยสร้างความเข้มแข็งในกลุ่มผลิตภัณฑ์ของบริษัทให้มีหลากหลาย อีกทั้งยังช่วยขยายตลาดให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะตลาดในประเทศสิงคโปร์และมาเลเซีย การผสานพลังทางธุรกิจกับ F&N ทำให้เกิดประสิทธิภาพในด้านต้นทุนในแง่ของการเพิ่มการใช้ประโยชน์จากโรงงานผลิตและการใช้ค่าใช้จ่ายทางการตลาด อีกทั้งยังลดเวลาในการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ด้วย
บริษัทมีรายได้รวม 172,049 ล้านบาทในปี 2558 และ 100,625 ล้านบาทสำหรับช่วง 6 เดือนแรกของปี 2559 รายได้เติบโตขึ้น 6% ในปี 2558 และ 19% ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2559 ธุรกิจสุรายังคงเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้และกำไรหลักให้แก่บริษัทซึ่งคิดเป็นประมาณ 55% ของรายได้รวม และสร้างกำไรประมาณ 80% ของกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ส่วนรายได้จากธุรกิจเบียร์ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2559 สูงขึ้นถึง 70% จากช่วงเวลาเดียวกัน โดยเบียร์ช้างในบรรจุภัณฑ์ใหม่และมีระดับแอลกอฮอล์ที่อ่อนลงได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี ในขณะที่ยอดขายชาพร้อมดื่มของบริษัทโออิชิปรับตัวสูงขึ้นมาก อีกทั้งยอดขายน้ำอัดลม "เอส" ก็ดีขึ้นเรื่อยๆ บริษัทมีอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงาน (กำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้) ดีขึ้นเป็น 18% ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2559 เมื่อเปรียบเทียบกับระดับ 16%-17% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา โดยได้รับแรงหนุนจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นและประสิทธิภาพการผลิตที่สูงขึ้นในธุรกิจเบียร์และเครื่องดื่มปราศจากแอลกอฮอล์ อีกทั้งจากการควบคุมต้นทุนอย่างต่อเนื่องของบริษัท
สถานะทางการเงินของบริษัทปรับตัวดีขึ้นซึ่งสะท้อนถึงเงินทุนจากการดำเนินงานที่แข็งแกร่งขึ้น ตลอดจนความพยายามในการลดหนี้สินอย่างต่อเนื่อง และสภาพคล่องที่เพียงพอของบริษัท เงินทุนจากการดำเนินงานของบริษัทอยู่ที่ 22,342 ล้านบาทในปี 2558 และมาอยู่ที่ 15,066 ล้านบาทในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2559 ซึ่งปรับสูงขึ้น 30% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเป็นผลมาจากการทำกำไรที่แข็งแกร่งของธุรกิจสุราและการปรับขึ้นทั้งในยอดขายและกำไรของธุรกิจเบียร์ อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมปรับเพิ่มขึ้นเป็น 50% เป็น 62% ในช่วงเวลาเดียวกัน บริษัทมีภาระหนี้สินระยะยาวที่ต้องชำระประมาณ 10,000 ล้านบาทในปี 2559 และอีก 19,500 ล้านบาทในปี 2560 ทั้งนี้ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2559 สภาพคล่องของบริษัทยังได้รับแรงหนุนจากเงินสดจำนวน 2,931 ล้านบาทและสินค้าคงคลังประเภทสุราที่ผลิตแล้วเสร็จอีกจำนวน 11,713 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทยังมีวงเงินสินเชื่อที่ยังไม่ได้เบิกใช้อีกประมาณ 60,000 ล้านบาทด้วย
ในช่วง 3 ปีข้างหน้า ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้ของบริษัทไทยเบฟเวอเรจจะเติบโตในอัตราปานกลาง โดยคาดว่าอุปสงค์ของการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะค่อยๆ เติบโต ผลการดำเนินงานของธุรกิจเบียร์จะยังคงดีอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่รายได้จากธุรกิจเครื่องดื่มปราศจากแอลกอฮอล์จะค่อย ๆ ปรับดีขึ้น ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนกำไรของบริษัทจะสูงกว่า 16% โดยได้รับแรงหนุนจากการควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างต่อเนื่องของบริษัท ในขณะที่บริษัทยังคงค่าใช้จ่ายทางการตลาดในกลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มปราศจากแอลกอฮอล์เอาไว้ในระดับสูง คาดว่าบริษัทจะมีเงินทุนจากการดำเนินงานเติบโตขึ้นถึงระดับที่มากกว่า 30,000 ล้านบาทต่อปีในช่วง 3 ปีข้างหน้า
ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2559 บริษัทมีหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยจ่ายอยู่ที่ 42,039 ล้านบาท ลดลงจากระดับ 49,772 ล้านบาทจากสิ้นปี 2557 โดยอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนปรับดีขึ้นเป็น 25% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2559 จากระดับ 32% ในปี 2557 ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีค่าใช้จ่ายฝ่ายทุนในช่วงปี 3 ปีข้างหน้าโดยรวมประมาณ 14,000 ล้านบาทเพื่อใช้ขยายโรงงานผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รวมทั้งใช้เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและขยายเครือข่ายการจัดจำหน่าย ทริสเรทติ้งคาดว่าในช่วงปี 3 ปีข้างหน้า อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทจะอยู่ในระดับไม่เกิน 30% หากบริษัทไม่มีการซื้อกิจการขนาดใหญ่
บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) (ThaiBev)
อันดับเครดิตองค์กร: AA+
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable