ทริสเรทติ้งปรับลดอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เป็นระดับ “BBB” จาก “BBB+” ในขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งยังปรับเปลี่ยนแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทเป็น “Negative” หรือ “ลบ” จากเดิม “Stable” หรือ “คงที่” ด้วย โดยอันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงผลประกอบการและสถานะทางการเงินของบริษัทที่อ่อนแอลงจากการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจทีวีดิจิตอลและแนวโน้มที่ถดถอยลงของธุรกิจสื่อหนังสือพิมพ์ อันดับเครดิตยังคงสะท้อนถึงชื่อเสียงและสถานะในการเป็นผู้นำธุรกิจด้านสื่อของบริษัท ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิตที่ปรับเปลี่ยนเป็น “Negative” ก็สะท้อนถึงมุมมองของทริสเรทติ้งที่เห็นว่าความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจะยังคงอ่อนแออยู่ในระยะสั้น ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานของบริษัทอาจปรับตัวดีขึ้นในระยะยาวหากบริษัทสามารถปรับแผนธุรกิจให้เกิดรายรับจากช่องทางสื่อออนไลน์ได้มากขึ้น หรือหากบริษัทสามารถเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในธุรกิจทีวีดิจิตอลให้สูงขึ้น อย่างไรก็ดี พัฒนาการในเชิงบวกดังกล่าวอาจใช้เวลานานกว่าที่คาดการณ์ไว้
แนวโน้มอันดับเครดิต “Negative” หรือ “ลบ” สะท้อนถึงแรงกดดันในการดำเนินธุรกิจทีวีดิจิตอลและสื่อหนังสือพิมพ์ อันดับเครดิตของบริษัทมีโอกาสที่จะถูกปรับลดลงในกรณีที่บริษัทยังคงประสบผลขาดทุนจากการดำเนินงานและฐานะการเงินของบริษัทอ่อนแอลงอย่างต่อเนื่อง ในทางกลับกัน อันดับเครดิตมีโอกาสที่จะถูกปรับเพิ่มขึ้นหากบริษัทมีผลประกอบการที่ดีกว่าที่คาดหมายและมีเงินทุนจากการดำเนินงานเพิ่มสูงขึ้นจากระดับปัจจุบันเป็นอย่างมากซึ่งทำให้สภาพคล่องของบริษัทปรับตัวดีขึ้น
บริษัทเนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป หรือเป็นที่รู้จักกันทั่วไปในชื่อ “เนชั่นกรุ๊ป” เป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจด้านสื่อในระดับแนวหน้าของไทย โดย ณ เดือนพฤษภาคม 2559 ผู้ถือหุ้นหลักของบริษัทประกอบด้วย บริษัท นิวส์ เน็ตเวิร์ค คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (9.96%) Digital Sky Holdings Ltd. (9.64%) นายศิริวัฒน์ วงศ์จารุกร (8.60%) และ บริษัทยู ซิตี้ จำกัด ((มหาชน (8.15%) ธุรกิจของบริษัทประกอบด้วย สื่อหนังสือพิมพ์ สื่อกระจายเสียงและแพร่ภาพ สาระบันเทิง การศึกษา การพิมพ์ และขนส่ง ธุรกิจหลักของบริษัทได้แก่ธุรกิจสื่อกระจายเสียงและแพร่ภาพและธุรกิจสื่อหนังสือพิมพ์ซึ่งสร้างรายได้ 44% และ 43% ของรายได้รวมของบริษัทตามลำดับในปี 2558
รายได้หลักของบริษัทมาจากค่าโฆษณาซึ่งจะแปรผันไปตามภาวะเศรษฐกิจ ข้อมูลของสมาคมโฆษณาแห่งประเทศไทยระบุว่างบโฆษณารวมในสื่อทุกประเภทเพิ่มขึ้น 3.3% ในปี 2558 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยสาเหตุหลักมาจากการดำเนินงานเต็มปีของสื่อทีวีดิจิตอล อย่างไรก็ตาม ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2559 งบโฆษณารวมในสื่อทุกประเภทลดลง 6% โดยอยู่ที่ 7.69 หมื่นล้านบาท ซึ่งสะท้อนถึงการชะลอตัวของภาวะเศรษฐกิจและการใช้จ่ายภาคครัวเรือน ในขณะที่งบโฆษณาผ่านสื่อทีวีดิจิตอลเพิ่มขึ้น 4.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนงบโฆษณาในสื่อหนังสือพิมพ์ลดลง 17.9% ซึ่งสะท้อนถึงความนิยมในสื่อหนังสือพิมพ์ที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง
ในปี 2558 บริษัทมีรายได้เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 7% เป็น 3,015 ล้านบาท โดยสาเหตุหลักมาจากการดำเนินงานเต็มปีของธุรกิจทีวีดิจิตอลทั้ง 2 ช่องของบริษัท สำหรับครึ่งแรกของปี 2559 ผลประกอบการของบริษัทถูกกระทบจากภาวะเศรษฐกิจและการใช้จ่ายด้านงบโฆษณาที่ชะลอตัว การลดลงอย่างต่อเนื่องของสื่อหนังสือพิมพ์และผลการดำเนินงานที่อ่อนแอกว่าที่คาดของธุรกิจทีวีดิจิตอลทำให้รายได้ของบริษัทลดลง 21% มาอยู่ที่ 1,138 ล้านบาทเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยรายได้จากธุรกิจหนังสือพิมพ์ลดลง 21% มาอยู่ที่ 512 ล้านบาท ในขณะที่รายได้จากธุรกิจทีวีดิจิตอลลดลง 24% มาอยู่ที่ 439 ล้านบาท รายได้ที่ลดลงทำให้บริษัทมีผลขาดทุนจากการดำเนินงาน 342 ล้านบาทในครึ่งแรกของปี 2559 ทั้งนี้ ผลขาดทุนดังกล่าวรวมรายการตั้งสำรองค่าเผื่อมูลค่าสินค้าที่ลดลงและตัดจำหน่ายลิขสิทธิ์สำหรับสิ่งพิมพ์จำนวน 193 ล้านบาทและต้นทุนทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับใบอนุญาตประกอบการทีวีดิจิตอลจำนวน 45 ล้านบาทซึ่งเกิดจากการปรับใช้มาตรฐานบัญชีใหม่
ในอนาคต ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้ของบริษัทจากธุรกิจหนังสือพิมพ์จะลดลงอย่างต่อเนื่องโดยเฉลี่ยปีละ 7%-9% สาเหตุจากความนิยมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปสู่สื่อออนไลน์ อย่างไรก็ตาม การลดลงดังกล่าวคาดว่าจะได้รับการชดเชยบางส่วนจากรายได้ของสื่อออนไลน์ของบริษัท ส่วนผลการดำเนินงานของธุรกิจทีวีดิจิตอลนั้นคาดว่าจะยังคงได้รับแรงกดดันจากการแข่งขันทั้งจากผู้ประกอบการรายอื่นและจากสื่อวิดีโอออนดีมานด์ (Video-on-demand) ที่สะท้อนถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ปัจจัยดังกล่าวส่งผลทำให้อัตราค่าโฆษณาในธุรกิจทีวีดิจิตอลต่ำกว่าที่คาด มีการคาดการณ์กันในอุตสาหกรรมว่าอาจมีผู้ประกอบการบางรายที่ไม่อาจแบกรับภาระขาดทุนจากการดำเนินธุรกิจทีวีดิจิตอลได้และอาจต้องหยุดดำเนินการ ซึ่งจะช่วยลดระดับการแข่งขันได้บางส่วน อย่างไรก็ดี คุณภาพของรายการถือเป็นปัจจัยสำคัญที่จะดึงดูดผู้ชมและรายได้ค่าโฆษณา
ภายใต้สมมติฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะยังมีผลขาดทุนจากการดำเนินงานต่อไปในปี 2559-2560 จากการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจทีวีดิจิตอลและการลดลงอย่างต่อเนื่องของธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ อย่างไรก็ตาม หากภาวะเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้นหรือบริษัทสามารถพัฒนาหรือจัดหารายการทีวีที่เพิ่มฐานผู้ชมและสร้างรายได้ในธุรกิจทีวีดิจิตอลได้ ผลการดำเนินงานของบริษัทก็คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นหลังปี 2560 จากการรายงานของ บริษัท เอจีบี นีลเส็น มีเดีย รีเสิร์ช (ประเทศไทย) จำกัด แสดงให้เห็นว่าเรทติ้ง และฐานผู้ชมของช่อง NOW ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือนตุลาคม 2558 หลังจากที่บริษัทปรับตัวเป็นช่องรายการสารคดี ทริสเรทติ้งคาดหวังว่าบริษัทจะได้รับอัตราค่าโฆษณาที่สูงขึ้นจากฐานผู้ชมที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดหวังว่าบริษัทจะยังคงสามารถรักษาความสามารถในการแข่งขันและสร้างรายได้จากช่อง Nation TV ได้ต่อไป ทั้งนี้ รายได้ของบริษัทน่าจะเติบโตในอัตราที่เร็วกว่าต้นทุนซึ่งจะส่งผลให้อัตรากำไรของบริษัทปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ในระดับ 14%-16% ในช่วงระหว่างปี 2561-2562 และคาดว่าบริษัทจะมีเงินทุนจากการดำเนินงานอยู่ที่ระดับ 250-400 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2560-2562
โครงสร้างเงินทุนและสภาพคล่องของบริษัทอ่อนตัวลงจากผลประกอบการที่อ่อนแอ ทริสเรทติ้งพิจารณาภาระผูกพันของบริษัทที่จะต้องชำระค่าใบอนุญาตประกอบการทีวีดิจิตอลเป็นภาระหนี้ เมื่อสุทธิกับเงินสดในมือแล้ว อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทอ่อนแอลงจาก 29.64% ณ สิ้นปี 2558 มาอยู่ที่ 36.88% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2559 ในขณะที่ผลขาดทุนจากการดำเนินงานส่งผลให้อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมของบริษัทอ่อนแอลงจาก 26.62% ในปี 2558 เป็นระดับ -13.85% (ปรับอัตราส่วนให้เป็นตัวเลขเต็มปีโดยใช้ข้อมูล 12 เดือนย้อนหลัง) สำหรับครึ่งแรกของปี 2559
ในระยะ 12-18 เดือนข้างหน้าคาดว่าสภาพคล่องของบริษัทจะอยู่ในภาวะตึงตัวจากผลประกอบการที่อ่อนแอ แหล่งเงินทุนของบริษัทคาดว่าจะมาจากเงินทุนจากการดำเนินงานจำนวน 180-250 ล้านบาทและจากเงินสดและเทียบเท่าเงินสด ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2559 อีกจำนวน 741 ล้านบาท ในขณะที่บริษัทมีแผนใช้จ่ายอันประกอบไปด้วยการลงทุนซึ่งรวมการซื้อลิขสิทธิ์รายการประมาณ 130-200 ล้านบาท ค่าใบอนุญาตทีวีดิจิตอล 648 ล้านบาท และชำระหนี้ที่จะครบกำหนดจำนวน 620-680 ล้านบาท ทั้งนี้ คาดว่าบริษัทจะต้องมีการก่อหนี้เพิ่มเติมเพื่อเพิ่มสภาพคล่อง ซึ่งจะทำให้อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 40%-45%
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com ติดต่อ santaya@trisrating.com โทร. 0-2231-3011 ต่อ 500 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500 ? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2559 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html