ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท กรุงไทยคาร์เร้นท์ แอนด์ ลีส จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “BBB+” ด้วยแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงคณะผู้บริหารของบริษัทที่มีประสบการณ์ในธุรกิจรถเช่าและความได้เปรียบในการแข่งขันจากการได้รับความร่วมมือทางธุรกิจจากบริษัทที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ในการพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงสภาพคล่องทางการเงินในระดับที่เพียงพอของบริษัทซึ่งมาจากกระแสเงินสดที่แน่นอนจากค่าเช่าที่ส่วนใหญ่เป็นสัญญาเช่าระยะยาวด้วย อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตถูกบั่นทอนจากการแข่งขันที่รุนแรงและการชะลอของภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงยืดเยื้อซึ่งยังคงเป็นปัจจัยกดดันความสามารถในการทำกำไรและการขยายธุรกิจของบริษัท
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” ของบริษัทอยู่บนพื้นฐานการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังคงสามารถดำรงสถานะทางธุรกิจและการเงิน รวมถึงสามารถรักษาฐานลูกค้าหลักกลุ่มเดิมและขยายฐานลูกค้าใหม่ได้แม้ว่าการแข่งขันจะรุนแรงก็ตามสถานะเครดิตของบริษัทอาจปรับเพิ่มขึ้นหากบริษัทสามารถเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดและความสามารถในการทำกำไรได้อย่างต่อเนื่อง ในทางกลับกัน สถานะเครดิตของบริษัทอาจได้รับผลกระทบในเชิงลบหากมีปัจจัยใดก็ตามที่ทำให้บริษัทมีสถานะทางธุรกิจและการเงินที่เสื่อมถอยลง อาทิ สถานะทางการตลาดที่อ่อนแอลง อัตรากำไรขั้นต้นของค่าเช่าที่ลดลง และการถดถอยลงอย่างมีนัยสำคัญของผลประกอบการทางการเงินของบริษัท
บริษัทกรุงไทยคาร์เร้นท์ แอนด์ ลีส ให้บริการรถยนต์เช่าดำเนินงานทั้งแบบระยะยาวและระยะสั้น สินทรัพย์ให้เช่าสุทธิของบริษัทนับแต่ปี 2552 ถึงปัจจุบันยังคงอยู่ที่ระดับ 3,000 ล้านบาทมาเป็นเวลากว่า 8 ปี ทั้งนี้ เนื่องจากบริษัทตัดสินใจที่จะใช้กลยุทธ์แบบอนุรักษ์นิยมแทนที่จะใช้การแข่งขันด้านราคาเพื่อขยายขนาดสินทรัพย์ให้เช่า นอกจากนี้ การรุกขยายธุรกิจอย่างรวดเร็วของคู่แข่งขันรายอื่น ๆ ยังเป็นปัจจัยที่ทำให้บริษัทมีส่วนแบ่งทางการตลาดที่ลดลงจากอันดับ 4 ในปี 2552 มาอยู่ที่อันดับ 6 ในปี 2558 จากจำนวนผู้ให้บริการ 30 รายในฐานข้อมูลของทริสเรทติ้ง การแข่งขันด้านราคาในธุรกิจรถยนต์เช่าดำเนินงานยังคงรุนแรงโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสัญญาเช่าดำเนินงานขนาดใหญ่ ในขณะที่กลยุทธ์ของบริษัทเน้นขยายฐานลูกค้าใหม่ที่ให้ความสำคัญกับการบริการที่ดีและเน้นผลประกอบการที่ดีของบริษัทแทนที่จะเน้นขยายขนาดของสินทรัพย์ให้เช่า
ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2559 สินทรัพย์ให้เช่าสุทธิของบริษัทอยู่ที่ 2,864 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อยจาก 3,097 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2558 บริษัทมีรถยนต์ที่ให้เช่า 6,787 คัน ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2559 ลดลงเล็กน้อยจาก 6,967 คันในปี 2558 รถยนต์ของบริษัทเกือบทั้งหมดประมาณ 95% เป็นรถที่ให้บริการภายใต้สัญญาเช่าระยะยาว และส่วนที่เหลือเป็นรถให้เช่าระยะสั้นและรถทดแทน
บริษัทมีความได้เปรียบในการแข่งขันจากการได้รับความร่วมมือทางธุรกิจจากบริษัทที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ บริษัทจัดซื้อรถยนต์ซึ่งเป็นสินทรัพย์ให้เช่าในสัดส่วนมากกว่า 50% ของรถยนต์ที่จัดซื้อทั้งปีผ่านตัวแทนจำหน่ายซึ่งผู้ถือหุ้นใหญ่คือตระกูลจันทรเสรีกุลเป็นเจ้าของ การจัดซื้อรถยนต์จากตัวแทนจำหน่ายของผู้ถือหุ้นใหญ่ทำให้บริษัทได้ประโยชน์ด้านข้อมูลเกี่ยวกับข้อเสนอพิเศษจากผู้ผลิตรถยนต์ซึ่งช่วยให้บริษัทจัดซื้อรถยนต์ให้เช่าในราคาที่ต่ำกว่า และนอกจากการมีศูนย์บริการทั่วประเทศกว่า 800 แห่งซึ่งบริษัททำสัญญาทางธุรกิจด้วยแล้ว บริษัทยังเป็นเจ้าของศูนย์บริการของตนเองซึ่งทำให้สามารถควบคุมต้นทุนการบำรุงรักษาที่ไม่จำเป็นอันอาจเกิดจากศูนย์บริการภายนอกด้วย บริษัทจัดจำหน่ายรถยนต์ให้เช่าซึ่งหมดสัญญาเช่ากับลูกค้าแล้วผ่านทางบริษัทลูกคือ บริษัท กรุงไทย ออโตโมบิล จำกัด ด้วยประสบการณ์ของผู้บริหารของบริษัทกรุงไทย ออโตโมบิลและการได้รับการรับรองคุณภาพรถยนต์ใช้แล้วภายใต้โครงการ “โตโยต้าชัวร์” ช่วยให้บริษัทสามารถจำหน่ายรถยนต์ให้เช่าที่หมดอายุสัญญาในราคาที่สูงกว่าการจำหน่ายผ่านตัวแทนรับประมูลทั่วไป ซึ่งทำให้บริษัทมีกำไรอย่างต่อเนื่องจากการขายรถยนต์ที่หมดสัญญาเช่า
ธุรกิจซื้อขายรถยนต์มือสองของบริษัทกรุงไทย ออโตโมบิลได้รับผลกระทบจากนโยบายรถคันแรกของรัฐบาลที่ผ่านมาซึ่งทำให้ความต้องการซื้อรถยนต์มือสองถูกแทนที่ด้วยความต้องการซื้อรถยนต์ใหม่ในทันที ส่งผลให้ราคารถยนต์มือสองปรับตัวลดลงอย่างมาก นอกจากนี้ ผู้ผลิตรถยนต์ยังมีแผนการตลาดเชิงรุกเพื่อพยายามลดยอดรถยนต์ใหม่คงคลังส่วนเกินให้หมดไป คณะผู้บริหารของบริษัทกรุงไทยออโตโมบิลได้ให้ความสำคัญในการขายรถยนต์ให้เช่าที่หมดอายุของบริษัทมากกว่าการขายรถยนต์มือสอง ทั้งนี้ กำไรจากการขายรถยนต์ให้เช่าที่หมดอายุของบริษัทก็ได้รับผลกระทบจากความต้องการรถยนต์มือสองที่ลดลงด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม นโยบายราคาและการตัดค่าเสื่อมราคาแบบอนุรักษ์นิยมยังคงทำให้บริษัทมีกำไรจากการขายสินทรัพย์ให้เช่าถึงแม้ว่าอัตรากำไรจะลดลงก็ตาม ตั้งแต่ปี 2551-2555 กำไรสุทธิของบริษัทกรุงไทย ออโตโมบิลคิดเป็นสัดส่วน 12%-14% ของกำไรสุทธิรวมของบริษัท อย่างไรก็ตาม สัดส่วนดังกล่าวลดลงเหลือ 3% ของกำไรสุทธิรวมของบริษัทในปี 2556 และปรับเพิ่มขึ้นเป็น 9% ในปี 2558 ทั้งนี้ ราคารถยนต์มือสองได้ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้วในปี 2557 และค่อย ๆ ฟื้นตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภายหลังโครงสร้างภาษีสรรพสามิตใหม่ที่เก็บภาษีตามปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2559 อันมีผลทำให้ราคารถใหม่สูงขึ้น
ในปี 2558 บริษัทมีกำไรสุทธิ 203 ล้านบาท ลดลงจาก 214 ล้านบาทในปี 2557 ซึ่งเป็นผลมาจากกำไรจากการขายรถยนต์ให้เช่าหมดอายุสัญญาที่ยังไม่กลับสู่ระดับปกติ สำหรับผลประกอบการงวดครึ่งแรกของปี 2559 นั้น บริษัทมีกำไรสุทธิ 134 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 49% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 90 ล้านบาท อัตราส่วนกำไรต่อสินทรัพย์เฉลี่ยอยู่ที่ 5.4% ในปี 2558 ลดลงจาก 6% ในปี 2557 และเพิ่มขึ้นเป็น 7.7% (ปรับอัตราส่วนให้เป็นตัวเลขเต็มปีแล้ว) ในงวดครึ่งแรกของปี 2559 อัตราส่วนความสามารถในการทำกำไรของบริษัทเมื่อเทียบกับคู่แข่งแล้วยังถือว่าอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง อย่างไรก็ดี การแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงยังคงเป็นปัจจัยกดดันต่อการทำกำไรของบริษัทต่อไป
บริษัทมีฐานะสภาพคล่องและความยืดหยุ่นทางการเงินในระดับปานกลาง โดยมีสภาพคล่องที่เพียงพอจากค่าเช่าที่มีอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ลักษณะของสินทรัพย์ให้เช่าซึ่งมีสภาพคล่องสูงในการจำหน่ายจะช่วยลดทอนความเสี่ยงด้านสภาพคล่องให้แก่บริษัทได้บางส่วนด้วย
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com ติดต่อ santaya@trisrating.com โทร. 0-2231-3011 ต่อ 500 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500 ? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2559 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html