ทริสเรทติ้งเห็นว่าการลงทุนของ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ใน Red Lobster ผู้นำธุรกิจร้านอาหารซีฟู้ดส์ประเภท Casual Dining ในทวีปอเมริกาเหนือ ไม่มีผลกระทบต่ออันดับเครดิตของบริษัทในขณะนี้
บริษัทไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป ได้ออกประกาศเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2559 ระบุว่าบริษัทได้เข้าลงทุนใน Red Lobster Master Holding, L.P. (Red Lobster) ด้วยมูลค่าเงินลงทุน 575 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (เทียบเท่ากับ 20,194 ล้านบาท) เจ้าของ Red Lobster คือ Golden Gate Private Equity, Inc. และกิจการในเครือ (Golden Gate) ทั้งนี้ การลงทุนประกอบด้วยการลงทุน 25% ในหน่วยลงทุนสามัญของ Red Lobster ในจำนวน 230 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่วนเงินจำนวน 345 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นการลงทุนในหน่วยลงทุนบุริมสิทธิที่แปลงสภาพได้อายุ 10 ปีที่สามารถแปลงสภาพเป็นหน่วยลงทุนสามัญได้ 24% ของหน่วยลงทุนสามัญทั้งหมดของ Red Lobster หรือไถ่ถอนในราคาที่ตกลงกันไว้ ณ สิ้นปีที่ 10
Red Lobster เป็นหนึ่งในผู้นำธุรกิจร้านอาหารซีฟู้ดส์ประเภท Casual Dining ในทวีปอเมริกาเหนือ ซึ่งปัจจุบันเป็นเจ้าของและดำเนินธุรกิจร้านอาหาร 704 แห่งในทวีปอเมริกาเหนือและให้สิทธิในการประกอบธุรกิจหรือแฟรนไชส์ (Franchise) อีก 50 แห่งในประเทศอื่น ๆ บริษัทไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป เป็นผู้จำหน่ายวัตถุดิบให้แก่ Red Lobster มาเป็นระยะเวลายาวนานกว่า 20 ปี จากข้อมูลของบริษัทระบุว่ารายได้ของ Red Lobster สำหรับรอบ 12 เดือนย้อนหลังสิ้นสุด ณ เดือนสิงหาคม 2559 อยู่ที่ 2,479 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และมีกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายที่ปรับปรุงแล้ว (Adjusted EBITDA) จำนวน 144 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงเดียวกัน ภายหลังจากการลงทุนดังกล่าว Golden Gate จะยังคงเป็นผู้บริหารหลัก ในขณะที่บริษัทไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จะส่งตัวแทนเข้าร่วมเป็นกรรมการบริหารของ Red Lobster 2 ท่าน จากกรรมการทั้งหมด 7 ท่าน
ธุรกรรมดังกล่าวมีมูลค่าคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 17.7% ของสินทรัพย์รวมของบริษัทโดยพิจารณาจากงบการเงินรวมของบริษัท ณ สิ้นงวดวันที่ 30 มิถุนายน 2559 การลงทุนในครั้งนี้สอดคล้องกับกลยุทธ์ระยะยาวของบริษัทที่มีแผนจะลงทุนในธุรกิจร้านอาหารซึ่งเป็นการขยายธุรกิจไปถึงผู้บริโภคโดยตรง ในการนี้ บริษัทจะได้รับเงินปันผลคงที่ในอัตรา 8% ต่อปีสำหรับเงินลงทุนในหน่วยลงทุนบุริมสิทธิ ซึ่งประเมินว่าจะมีมูลค่าเท่ากับ 22 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หลังหักภาษี (เทียบเท่ากับ 770 ล้านบาท) นอกจากนั้น บริษัทยังเชื่อว่าบริษัทจะสามารถเพิ่มการขายสินค้าให้ Red lobster ให้มากขึ้นจากปัจจุบันที่มีมูลค่าการขายสินค้ามากกว่า 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี และจะได้รับกำไรจากเงินลงทุนหรือเงินปันผลจากหน่วยลงทุนสามัญใน Red Lobster อีก 25% หาก Red Lobster สามารถปรับปรุงผลการดำเนินงานได้ตามแผน
สถานะทางการเงินของบริษัทไทยยูเนี่ยน กรุ๊ปจะอ่อนแอลงบางส่วนเนื่องจากการลงทุนในครั้งนี้ใช้เงินกู้ในการลงทุนทั้งหมด ภายหลังจากการลงทุนในครั้งนี้ อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนจะเพิ่มขึ้นจาก 44% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2559 เป็น 55% อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะสามารถบริหารจัดการให้อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนอยู่ในระดับต่ำกว่า 50% ได้ตามนโยบายของบริษัท และมีกระแสเงินสดส่วนเกินสำหรับรองรับการชำระหนี้ที่เพิ่มขึ้นในระยะปานกลาง
ปัจจุบันทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกันของบริษัทไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป ที่ระดับ “AA-” ด้วยแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” -- จบ