แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าบริษัทจะสามารถดำรงสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งในธุรกิจการตลาดของบริษัทเอาไว้ได้ ในขณะที่การลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์จะสร้างรายได้ที่ต่อเนื่องให้แก่บริษัทและจะช่วยลดความผันผวนของธุรกิจกลั่นน้ำมันและธุรกิจการตลาดลงได้บางส่วน
ปัจจัยที่มีผลในเชิงบวกต่ออันดับเครดิตของบริษัท ได้แก่ การที่บริษัทสามารถเพิ่มกระแสเงินสดได้อย่างมากและสม่ำเสมอจากการกระจายธุรกิจโดยที่ไม่ส่งผลกระทบทำให้โครงสร้างเงินทุนของบริษัทอ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญ ในขณะที่ปัจจัยที่มีผลในเชิงลบต่ออันดับเครดิตอาจเกิดขึ้นจากการที่โครงสร้างเงินทุนของบริษัทอ่อนแอลงอย่างมากจากการลงทุนขนาดใหญ่โดยการก่อหนี้เป็นหลัก หรือการที่บริษัทประสบผลขาดทุนอย่างมากจากการดำเนินงานหรือจากการลงทุน
บริษัทบางจากปิโตรเลียมก่อตั้งในปี 2528 และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2536 ผู้ถือหุ้นของบริษัท ณ เดือนกันยายน 2559 ประกอบด้วยกองทุนรวมวายุภักษ์ 1 ในสัดส่วน 15.60% สำนักงานประกันสังคม 14.31% กระทรวงการคลัง 9.98% และนักลงทุนทั่วไปซึ่งถือหุ้นในส่วนที่เหลืออีก 60.11% บริษัทดำเนินธุรกิจกลั่นน้ำมันและการตลาดโดยมีโรงกลั่นน้ำมันแบบคอมเพล็กซ์ (Complex Refinery) ซึ่งตั้งอยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร ด้วยอัตรากำลังการกลั่น 120,000 บาร์เรลต่อวัน หรือคิดเป็นประมาณ 11% ของกำลังการกลั่นทั้งหมดภายในประเทศ นอกจากนี้ บริษัทยังดำเนินธุรกิจสถานีบริการน้ำมัน โดย ณ สิ้นเดือนกันยายน 2559 บริษัทมีสถานีบริการน้ำมันจำนวน 1,065 แห่งที่ดำเนินการภายใต้เครื่องหมายการค้า "บางจาก" และยังลงทุนในธุรกิจพลังงานทดแทนด้วย โดยปัจจุบันบริษัทลงทุนในโรงงานผลิตไบโอดีเซลขนาดกำลังผลิต 810,000 ลิตรต่อวัน โรงงานผลิตเอทานอลขนาด 150,000 ลิตรต่อวัน และบริษัทยังลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศไทยและญี่ปุ่น โดยมีกำลังการผลิตตามสัญญารวม 138 เมกะวัตต์อีกด้วย ทั้งนี้ บริษัทได้นำบริษัทย่อยที่ดำเนินธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเมื่อเดือนกันยายน 2559 นอกจากนี้ บริษัทยังได้ลงทุนในธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมที่ประเทศฟิลิปปินส์ซึ่งมีอัตราการผลิตประมาณ 2,900 บาร์เรลต่อวันด้วย
อันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งของบริษัทจากผลการดำเนินการที่ดีของธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันและความได้เปรียบจากการบูรณาการธุรกิจการตลาดกับธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันซึ่งช่วยเพิ่มอัตรากำไรโดยรวมให้แก่ธุรกิจน้ำมัน ทั้งนี้ เนื่องจากบริษัทจะได้รับค่าการตลาดเพิ่มเติมจากค่าการกลั่น โดยโรงกลั่นน้ำมันแบบคอมเพล็กซ์ของบริษัทสามารถกลั่นน้ำมันดิบเพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูปชนิดกลาง (Middle Distillate) เช่น น้ำมันดีเซลและน้ำมันเชื้อเพลิงเครื่องบินในสัดส่วนที่สูง ซึ่งผลิตภัณฑ์เหล่านี้เป็นผลิตภัณฑ์ที่ให้ค่าการกลั่นสูง สำหรับผลิตภัณฑ์น้ำมันที่บริษัทกลั่นได้ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2559 นั้นประกอบไปด้วย น้ำมันดีเซล 55% น้ำมันเบนซิน 19% น้ำมันเตา 12% และน้ำมันเชื้อเพลิงเครื่องบิน 11% จากสัดส่วนดังกล่าวบริษัทมีค่าการกลั่นพื้นฐาน (Base GRM) ที่ 5.8 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2559 ในช่วงเวลาดังกล่าว โรงกลั่นน้ำมันของบริษัทปิดซ่อมบำรุงตามวาระเป็นเวลา 45 วัน ส่งผลทำให้อัตราการกลั่นน้ำมันดิบลดลงเหลือ 97,000 บาร์เรลต่อวัน จาก 112,000 บาร์เรลต่อวันในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2558 หลังจากการปิดซ่อมบำรุงดังกล่าวแล้ว อัตราการกลั่นน้ำมันดิบก็เพิ่มสูงกว่า 110,000 บาร์เรลต่อวัน ปัจจุบันโรงกลั่นน้ำมันของบริษัทยังอยู่ในช่วงของการปรับปรุงประสิทธิภาพ ซึ่งเมื่อการปรับปรุงแล้วเสร็จก็จะช่วยให้โรงกลั่นมีความยืดหยุ่นในการผลิตและจะมีค่าการกลั่นเพิ่มมากขึ้น
อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงตำแหน่งทางการตลาดของบริษัทที่ดีขึ้นในธุรกิจการตลาดด้วย โดยธุรกิจดังกล่าวมีผลการดำเนินงานที่ดีซึ่งเห็นได้จากยอดจำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูปที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอด 5 ปีที่ผ่านมาด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ย 7% ต่อปี ซึ่งเพิ่มจาก 4,200 ล้านลิตรในปี 2554 เป็น 5,419 ล้านลิตรในปี 2558 ส่วนในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2559 บริษัทก็มีปริมาณการจำหน่ายน้ำมันสำเร็จรูป 4,297 ล้านลิตร เพิ่มขึ้น 7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยประมาณ 60% ของปริมาณจำหน่ายเป็นการจำหน่ายผ่านสถานีบริการน้ำมัน "บางจาก" ในขณะที่ส่วนที่เหลือเป็นการจำหน่ายโดยตรงให้แก่กลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรม บริษัทมีการดำเนินกลยุทธ์ทางการตลาดรวมถึงพัฒนาธุรกิจเสริมต่าง ๆ (Non-oil Business) พร้อมทั้งปรับปรุงภาพลักษณ์สถานีบริการน้ำมันเพื่อเพิ่มยอดจำหน่ายน้ำมันสำเร็จรูปผ่านสถานีบริการน้ำมันอันเป็นช่องทางจำหน่ายที่ให้อัตรากำไรสูงสุดเมื่อเทียบกับช่องทางอื่น โดยปริมาณจำหน่ายน้ำมันสำเร็จรูปผ่านสถานีบริการของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 205 ล้านลิตรต่อเดือนในปี 2554 เป็น 274 ล้านลิตรต่อเดือนในปี 2558 หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 8% ต่อปี ส่วนในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2559 ปริมาณจำหน่ายน้ำมันสำเร็จรูปผ่านสถานีบริการเท่ากับ 299 ล้านลิตรต่อเดือน หรือเพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ ปริมาณจำหน่ายที่เพิ่มขึ้นนี้ส่งผลให้สถานะทางการตลาดของบริษัทแข็งแกร่งขึ้นจนทำให้บริษัทเป็นผู้จำหน่ายน้ำมันผ่านสถานีบริการภายในประเทศที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ด้วยส่วนแบ่งทางการตลาดประมาณ 15% ตั้งแต่ปี 2557
ธุรกิจไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ช่วยทำให้กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ของบริษัทมีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้น ในเดือนกุมภาพันธ์ 2559 บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัทได้ซื้อธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศญี่ปุ่นจาก SunEdison โดยมีมูลค่าการลงทุนประมาณ 2,900 ล้านบาทซึ่งได้จ่ายชำระไปแล้วจำนวน 1,300 ล้านบาท บริษัทมีโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ซึ่งมีกำลังการผลิตตามสัญญา ณ เดือนกันยายน 2559 รวมทั้งสิ้น 138 เมกะวัตต์เปิดดำเนินงานแล้ว ทั้งนี้ กำลังการผลิตส่วนใหญ่จำนวน 118 เมกะวัตต์อยู่ในประเทศไทย ในขณะที่อีก 20 เมกะวัตต์อยู่ในประเทศญี่ปุ่น โครงการโรงไฟฟ้าของบริษัทในประเทศไทยทั้งหมดได้รับส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า (Adder) ในอัตรา 8 บาทต่อหน่วยเพิ่มเติมจากค่าไฟฟ้าฐาน ในขณะที่โรงไฟฟ้าในประเทศญี่ปุ่นมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับบริษัทไฟฟ้าท้องถิ่น โดยมีอายุสัญญานาน 20 ปี และได้รับอัตรารับซื้อไฟฟ้า (Feed in Tariff -- FiT) ในอัตรา 40 เยนต่อหน่วย บริษัทได้นำธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเมื่อเดือนกันยายน 2559 โดยการเสนอขายแก่ประชาชนทั่วไปและได้รับเงินจากการเพิ่มทุนในครั้งนี้ประมาณ 5,900 ล้านบาท ในปี 2558 ธุรกิจไฟฟ้าของบริษัทมี EBITDA จำนวน 3,005 ล้านบาท และในอนาคตคาดว่าบริษัทจะมี EBITDA จากธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ประมาณ 2,500-3,500 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2559-2562 ซึ่งจะช่วยลดผลกระทบจากความผันผวนของราคาน้ำมันและค่าการกลั่นของบริษัทลงได้
อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตถูกลดทอนบางส่วนจากความผันผวนของราคาน้ำมัน ทั้งนี้ บริษัทและผู้ประกอบการรายอื่น ๆ ต่างได้รับผลกระทบจากตลาดน้ำมันที่ผันผวนสูงในปี 2557-2558 โดยราคาน้ำมันดิบลดลงจากประมาณ 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลในช่วงต้นปี 2557 เหลือประมาณ 25 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลในช่วงสิ้นปี 2558 ส่งผลให้เกิดการขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันเป็นจำนวนมากและทำให้ค่าการกลั่นรวมลดลง อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันดิบในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2559 ผันผวนน้อยลง โดยมีราคาอยู่ระหว่าง 25-50 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล นอกจากนี้ การพิจารณาอันดับเครดิตยังประเมินรวมไปถึงการเติบโตของเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงด้วย ซึ่งความผันผวนของราคาน้ำมันและการเติบโตของเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงนี้จะส่งผลกระทบต่อค่าการกลั่นรวมของบริษัท
ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2559 จากราคาน้ำมันที่ลดลงส่งผลให้บริษัทมีรายได้ลดลง 10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยอยู่ที่ 104,225 ล้านบาท บริษัทมีอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายดีขึ้นจาก 7.7% ในปี 2558 เป็น 8.3% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2559 ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากค่าการตลาดที่เพิ่มขึ้นของธุรกิจการตลาด ณ สิ้นเดือนกันยายน 2559 บริษัทมีเงินกู้รวมจำนวน 39,323 ล้านบาท ในขณะที่โครงสร้างเงินทุนยังคงอยู่ในระดับที่น่าพอใจ โดยการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของบริษัทบีซีพีจีในเดือนกันยายน 2559 ช่วยทำให้อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุน (ปรับปรุงแล้ว) ปรับตัวดีขึ้นเป็น 50.7% ณ สิ้นเดือนกันยายน 2559 เนื่องจากฐานทุนของบริษัทเพิ่มขึ้นประมาณ 5,900 ล้านบาทหลังจากการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนแก่ประชาชนทั่วไป
ในช่วงปี 2559-2562 สมมติฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมี EBITDA อยู่ในช่วง 11,000-15,000 ล้านบาทต่อปี โดยมีปริมาณน้ำมันดิบเข้ากลั่น 110,000 บาร์เรลต่อวัน มีค่าการกลั่นพื้นฐานเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 6.5 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล และคาดว่าบริษัทจะมีค่าใช้จ่ายฝ่ายทุนและการลงทุนสำหรับโครงการที่มีภาระผูกผันในระหว่างปี 2559-2562 คิดเป็นมูลค่าประมาณ 43,000 ล้านบาท โดยประมาณ 35,500 ล้านบาทจะใช้สำหรับการปรับปรุงประสิทธิภาพของโรงกลั่น รวมทั้งขยายเครือข่ายธุรกิจการตลาด ขยายโรงงานไบโอดีเซลและโรงงานเอทานอล และเพิ่มอัตราการผลิตของธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม ส่วนที่เหลืออีกประมาณ 7,500 ล้านบาทจะใช้เป็นงบประมาณสำหรับการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ซึ่งได้รวมเงินทุนการเข้าซื้อ SunEdison ในเดือนกุมภาพันธ์ 2559 ด้วย ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาจาก EBITDA และแผนการลงทุนแล้ว คาดว่าอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในช่วงที่มีการลงทุนใหม่ อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนนี้จะอยู่ในระดับไม่เกิน 50% ในระยะ 3 ปีข้างหน้า
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com ติดต่อ santaya@trisrating.com โทร. 0-2231-3011 ต่อ 500 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500 ? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2559 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html