ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและแนวโน้ม “บล. เพื่อธุรกิจหลักทรัพย์” ที่ “BBB-/Stable”

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday December 19, 2016 13:00 —ทริส เรตติ้ง

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัทหลักทรัพย์ เพื่อธุรกิจหลักทรัพย์ จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “BBB-” ด้วยแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงความแข็งแกร่งของฐานทุนของบริษัท ตลอดจนการรักษาความสามารถในการทำกำไรอย่างต่อเนื่อง ความยืดหยุ่นทางการเงินที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งการปรับปรุงระบบบริหารความเสี่ยงด้านเครดิตขององค์กรอย่างต่อเนื่อง และการสนับสนุนทางการเงินจากผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทคือตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ต.ล.ท.) อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตมีข้อจำกัดจากปัจจัย 2 ประการ ได้แก่ แรงกดดันจากสภาวะการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงในธุรกิจหลักของบริษัทคือสินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์และความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาดหลักทรัพย์ของไทย ทั้งนี้ การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงนโยบายเชิงกลยุทธ์ของบริษัทในการทยอยให้สินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่องระยะสั้นแก่บริษัทหลักทรัพย์ด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ ความสำเร็จของธุรกิจดังกล่าวยังเป็นสิ่งที่ต้องรอการพิสูจน์ต่อไป

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงความคาดหมายของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังคงรักษาผลประกอบการและฐานะทางการตลาดในธุรกิจสินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ในระดับปัจจุบันต่อไปได้ นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดว่าบริการใหม่คือสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่องให้แก่ธุรกิจหลักทรัพย์จะสามารถสร้างผลกำไรให้แก่บริษัทในอนาคตได้ตามแผนโดยที่บริษัทจะยังคงได้รับการสนับสนุนจากผู้ถือหุ้นใหญ่คือ ต.ล.ท. อย่างต่อเนื่องต่อไป

อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทอาจปรับลดลงได้หากการแข่งขันในธุรกิจหลักทรัพย์ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น หรือความผันผวนของธุรกิจหลักทรัพย์เป็นสาเหตุให้บริษัทมีผลประกอบการที่ต่ำกว่าคาด นอกจากนี้ หากโครงสร้างของสินทรัพย์และหนี้สินของบริษัทเพิ่มขึ้นจากระดับปัจจุบันก็อาจส่งผลต่อการปรับลดอันดับเครดิตได้ด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม การปรับเพิ่มอันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจเกิดขึ้นได้หากผลประกอบการของบริษัทปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

บริษัทหลักทรัพย์เพื่อธุรกิจหลักทรัพย์มีเงินทุนที่แข็งแกร่งขึ้นภายหลังจากการเพิ่มทุนในเดือนกรกฎาคม 2557 โดยการขายหุ้นแบบเฉพาะเจาะจง (Private Placement) ให้แก่ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ได้แก่ ต.ล.ท. กระทรวงการคลัง และธนาคารออมสิน ทำให้ทุนจดทะเบียนของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 1,016 ล้านบาทเป็น 1,549 ล้านบาท โดย ต.ล.ท. เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดในสัดส่วน 40.65% ตามด้วยกระทรวงการคลัง 10.65% และธนาคารออมสิน 9.5% นอกจากนี้ ยังมีผู้ถือหุ้นอื่น ได้แก่ ธนาคารพาณิชย์ต่าง ๆ อีกจำนวน 11.89% บริษัทหลักทรัพย์ 10.9% บริษัทจัดการกองทุน 9.7% บริษัทประกันภัย 2.82% และอื่น ๆ อีก 0.03% อัตราส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทต่อสินทรัพย์รวมแข็งแกร่งขึ้นจาก 29.3% ในปี 2552 เป็น 57.21% ในปี 2557 และ 54.5% ณ เดือนกันยายน 2559

บริษัทได้รับผลกระทบอย่างหนักจากวิกฤติการเงินเมื่อปี 2551 จากการหักขาดทุนที่ยังไม่รับรู้จากการลงทุนในหลักทรัพย์เผื่อขาย ภายหลังจากการปรับโครงสร้างหนี้ในเดือนเมษายน 2552 แล้ว ผลการดำเนินงานของบริษัทก็ยังไม่ฟื้นตัวตามที่คาดการณ์ไว้ ทั้งนี้ สาเหตุเนื่องมาจากความสามารถในการแข่งขันที่ลดลงในธุรกิจสินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ บริษัทยังคงเผชิญกับความท้าทายในธุรกิจหลักด้วยเหตุผล 2 ประการ ได้แก่ ความไม่แน่นอนของปัจจัยแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจและความท้าทายในตลาดหลังจากที่บริษัทกลับเข้าสู่ธุรกิจการให้สินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์อื่น ๆ ได้ขยายพอร์ตสินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์อย่างรวดเร็วในระหว่างปี 2553 ถึงเดือนมิถุนายน 2559 ซึ่งทำให้ขนาดของสินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ของทั้งอุตสาหกรรมขยายตัวจาก 16,000 ล้านบาทในปี 2552 เป็น 54,700 ล้านบาท ณ เดือนมิถุนายน 2559 ผลกระทบจากวิกฤติการเงินเมื่อปี 2551 ทำให้พอร์ตสินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ของบริษัทลดลงอย่างมากจาก 6,377 ล้านบาทในเดือนกันยายน 2551 เป็น 2,123 ล้านบาทในเดือนกันยายน 2559 จากสาเหตุที่บริษัทมีต้นทุนทางการเงินที่สูงกว่าคู่แข่งรายอื่น ๆ ทำให้ส่วนแบ่งทางการตลาดของบริษัทลดลงอย่างมากและต่อเนื่องจาก 24% ในเดือนกันยายน 2551 เหลือ 4% ในเดือนกันยายน 2559 บริษัทมีสินทรัพย์รวมจำนวน 2,977 ล้านบาท ณ เดือนกันยายน 2559 ซึ่งคิดเป็นเงินให้สินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ในสัดส่วน 78% หรือ 2,317 ล้านบาท

บริษัทกลับมาทำธุรกิจให้สินเชื่อแก่บริษัทหลักทรัพย์อีกครั้งในปี 2557 เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ในการจัดตั้งคือการให้สภาพคล่องแก่บริษัทหลักทรัพย์ ณ เดือนกันยายน 2559 สินเชื่อที่บริษัทให้แก่บริษัทหลักทรัพย์มียอดคงค้าง 445.5 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม สินเชื่อประเภทใหม่ถือว่าท้าทายความสามารถของบริษัทในการบริหารความเสี่ยง นอกจากนี้ บริษัทก็ยังมีผลงานในสินเชื่อประเภทใหม่ดังกล่าวไม่มากนักด้วย

ภายหลังการเพิ่มทุนในเดือนกรกฎาคม 2557 บริษัทก็สามารถลดต้นทุนทางการเงินให้ต่ำลงได้ โดยบริษัทได้ทำการหาแหล่งเงินกู้ระยะยาวใหม่ ๆ เพื่อนำมาจ่ายคืนเงินกู้ที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่า ปัจจุบันบริษัทมีความยืดหยุ่นทางการเงินมากขึ้นและมีต้นทุนทางการเงินที่ต่ำลง โดยต้นทุนทางการเงินลดลงอย่างต่อเนื่องจาก 6.38% ในปี 2556 และ 5.81% ในปี 2557 เป็น 4.57% ในปี 2558 บริษัทมีต้นทุนทางการเงินเท่ากับ 2.84% (ปรับอัตราส่วนให้เป็นตัวเลขเต็มปี) สำหรับครึ่งปีแรกของปี 2559 ณ เดือนกันยายน 2559 บริษัทได้รับวงเงินกู้ยืมจำนวน 6,700 ล้านบาทจากสถาบันการเงินภายในประเทศหลายแห่ง ผลการดำเนินงานของบริษัทปรับตัวดีขึ้นตั้งแต่ปี 2556 เป็นต้นมา ฐานทุนที่แข็งแกร่งขึ้นของบริษัทช่วยสนับสนุนการขยายธุรกิจตามแผน โดยบริษัทสามารถทำกำไรจำนวน 25 ล้านบาทในปี 2556 และต่อเนื่องเป็น 41 ล้านบาทในปี 2557,เป็น 57 ล้านบาทในปี 2558 และเป็น 34 ล้านบาทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2559

ในด้านคุณภาพของสินทรัพย์นั้น ตั้งแต่ปี 2556 เป็นต้นมาบริษัทได้พัฒนาและใช้หลักเกณฑ์ที่เข้มงวดขึ้นในการจัดระดับของหลักทรัพย์ที่นำมาเป็นหลักประกันในการขอสินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ ทั้งนี้ หลักเกณฑ์ดังกล่าวช่วยสะท้อนระดับความเสี่ยงของหลักทรัพย์ที่นำมาค้ำประกันและช่วยจำกัดความเสี่ยงจากการกระจุกตัวของสินเชื่อด้วย ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะสามารถควบคุมความเสี่ยงด้านเครดิตของลูกหนี้ได้โดยมีความเข้มงวดในการเรียกหลักประกันเพิ่ม (Margin Call) และการบังคับขาย (Forced Sell) รวมทั้งคงเกณฑ์การพิจารณาสินเชื่อและหลักประกันที่เข้มงวดกวดขันต่อไป

บริษัทหลักทรัพย์ เพื่อธุรกิจหลักทรัพย์ จำกัด (มหาชน) (TSFC)
อันดับเครดิตองค์กร: BBB-
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ santaya@trisrating.com  โทร. 0-2231-3011 ต่อ 500 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2559 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ