บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ยืนยันอันดับเครดิตองค์กรของธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) และหุ้นกู้ด้อยสิทธิชุดเดิม (TMB07NA) ของธนาคารคงเดิมที่ระดับ "BBB+" และ "BBB" ตามลำดับ และจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ด้อยสิทธิในวงเงินไม่เกิน 8,000 ล้านบาทของธนาคารที่ระดับ "BBB" พร้อมแนวโน้ม "Positive" หรือ "บวก" โดยอันดับเครดิตสะท้อนมูลค่าทางธุรกิจที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นหลังจากที่ธนาคารได้ควบรวมกิจการกับธนาคารดีบีเอสไทยทนุ จำกัด (มหาชน) (DTDB) และบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (บรรษัท) นอกจากนี้ การจัดอันดับยังพิจารณาถึงฐานเงินทุนที่แข็งแกร่งขึ้นหลังจากการเพิ่มทุนในปี 2546 อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวยังถูกจำกัดโดยความเสี่ยงจากการปรับโครงสร้างองค์กรหลังการควบรวมกิจการในเดือนกันยายน 2547
โดยที่แนวโน้มอันดับเครดิต "Positive" สะท้อนถึงความคาดหมายแนวโน้มคุณภาพสินทรัพย์และความสามารถในการทำกำไรที่ดีขึ้นของธนาคาร การควบรวมกิจการของธนาคารกับ DTDB และบรรษัททำให้ธนาคารกลายเป็นธนาคารที่มีขนาดของสินทรัพย์ใหญ่เป็นอันดับที่ 5 นอกจากนี้ ยังคาดว่าจุดแข็งของแต่ละสถาบันจะส่งเสริมให้เกิดมูลค่าทางธุรกิจที่เพิ่มขึ้นแก่ธนาคาร อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งจะยังคงติดตามความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นในช่วงของการปรับเปลี่ยนองค์กรอย่างใกล้ชิดต่อไป
ทริสเรทติ้งรายงานว่า หลังจากเพิ่มทุนในเดือนกันยายน 2546 ธนาคารทหารไทยมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งขึ้น โดยสามารถตั้งสำรองเต็มจำนวนและเพิ่มสัดส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ต่อสินทรัพย์เสี่ยงให้แข็งแกร่งขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 8% และยังสามารถไถ่ถอนตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุนภายใต้ชื่อ Super Cap รวมทั้งหุ้นกู้ด้อยสิทธิ ซึ่งทำให้ธนาคารสามารถลดค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยได้อย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ การโอนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) จากบริษัทลูกของธนาคาร ได้แก่ บริษัท บริหารสินทรัพย์พญาไท จำกัด (PAMC) ไปยัง บริษัท บริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (บสก.) ทำให้หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของธนาคารตามงบการเงินรวมมีระดับที่ลดลง การควบรวมกิจการกับ DTDB และบรรษัทในเดือนกันยายน 2547 คาดว่าจะทำให้เกิดการส่งเสริมซึ่งกันและกัน รวมทั้งสร้างมูลค่าทางธุรกิจของธนาคารให้เพิ่มขึ้นจากศักยภาพของทั้ง 3 ฝ่าย ได้แก่ จุดแข็งทางด้านสินเชื่อโครงการรวมทั้งการมีฐานลูกค้าที่เป็นธุรกิจขนาดใหญ่และธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ของบรรษัท ฐานลูกค้า SME ที่มีคุณภาพพร้อมด้วยเครือข่ายลูกค้ารายย่อยของ DTDB และความชำนาญในตลาดในประเทศและเครือข่ายการให้บริการที่ครอบคลุมของธนาคาร
ณ สิ้นเดือนกันยายน 2547 ธนาคารมีขนาดสินทรัพย์ใหญ่เป็นอันดับ 5 ของธนาคารพาณิชย์ไทยทั้งหมด โดยมีสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น 672,222 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 407,068 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2547 (อันดับที่ 8) อย่างไรก็ตาม หลังจากการควบรวมกิจการ ธนาคารต้องปรับเปลี่ยนโครงสร้างการดำเนินงานและการบริหารทรัพยากรบุคคล จึงทำให้เกิดความเสี่ยงจากการปรับเปลี่ยนองค์กรจากความพยายามในการรวมพนักงานของทั้ง 3 องค์กรเข้าด้วยกัน ซึ่งคาดว่าการรวมองค์กรจะใช้เวลาในการบรรลุภารกิจและเป้าหมายของธนาคาร ทริสเรทติ้งกล่าว -- จบ
โดยที่แนวโน้มอันดับเครดิต "Positive" สะท้อนถึงความคาดหมายแนวโน้มคุณภาพสินทรัพย์และความสามารถในการทำกำไรที่ดีขึ้นของธนาคาร การควบรวมกิจการของธนาคารกับ DTDB และบรรษัททำให้ธนาคารกลายเป็นธนาคารที่มีขนาดของสินทรัพย์ใหญ่เป็นอันดับที่ 5 นอกจากนี้ ยังคาดว่าจุดแข็งของแต่ละสถาบันจะส่งเสริมให้เกิดมูลค่าทางธุรกิจที่เพิ่มขึ้นแก่ธนาคาร อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งจะยังคงติดตามความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นในช่วงของการปรับเปลี่ยนองค์กรอย่างใกล้ชิดต่อไป
ทริสเรทติ้งรายงานว่า หลังจากเพิ่มทุนในเดือนกันยายน 2546 ธนาคารทหารไทยมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งขึ้น โดยสามารถตั้งสำรองเต็มจำนวนและเพิ่มสัดส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ต่อสินทรัพย์เสี่ยงให้แข็งแกร่งขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 8% และยังสามารถไถ่ถอนตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุนภายใต้ชื่อ Super Cap รวมทั้งหุ้นกู้ด้อยสิทธิ ซึ่งทำให้ธนาคารสามารถลดค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยได้อย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ การโอนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) จากบริษัทลูกของธนาคาร ได้แก่ บริษัท บริหารสินทรัพย์พญาไท จำกัด (PAMC) ไปยัง บริษัท บริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (บสก.) ทำให้หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของธนาคารตามงบการเงินรวมมีระดับที่ลดลง การควบรวมกิจการกับ DTDB และบรรษัทในเดือนกันยายน 2547 คาดว่าจะทำให้เกิดการส่งเสริมซึ่งกันและกัน รวมทั้งสร้างมูลค่าทางธุรกิจของธนาคารให้เพิ่มขึ้นจากศักยภาพของทั้ง 3 ฝ่าย ได้แก่ จุดแข็งทางด้านสินเชื่อโครงการรวมทั้งการมีฐานลูกค้าที่เป็นธุรกิจขนาดใหญ่และธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ของบรรษัท ฐานลูกค้า SME ที่มีคุณภาพพร้อมด้วยเครือข่ายลูกค้ารายย่อยของ DTDB และความชำนาญในตลาดในประเทศและเครือข่ายการให้บริการที่ครอบคลุมของธนาคาร
ณ สิ้นเดือนกันยายน 2547 ธนาคารมีขนาดสินทรัพย์ใหญ่เป็นอันดับ 5 ของธนาคารพาณิชย์ไทยทั้งหมด โดยมีสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น 672,222 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 407,068 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2547 (อันดับที่ 8) อย่างไรก็ตาม หลังจากการควบรวมกิจการ ธนาคารต้องปรับเปลี่ยนโครงสร้างการดำเนินงานและการบริหารทรัพยากรบุคคล จึงทำให้เกิดความเสี่ยงจากการปรับเปลี่ยนองค์กรจากความพยายามในการรวมพนักงานของทั้ง 3 องค์กรเข้าด้วยกัน ซึ่งคาดว่าการรวมองค์กรจะใช้เวลาในการบรรลุภารกิจและเป้าหมายของธนาคาร ทริสเรทติ้งกล่าว -- จบ