ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันในวงเงินไม่เกิน 1,200 ล้านบาทของ บริษัท เงินติดล้อ จำกัด (เดิมชื่อ บริษัท ซีเอฟจี เซอร์วิส จำกัด) ที่ระดับ “A” พร้อมทั้งยืนยันอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของบริษัทที่ระดับ “A” ด้วย โดยแนวโน้มยังคง “Stable” หรือ “คงที่” ทั้งนี้ อันดับเครดิตสะท้อนถึงความแข็งแกร่งของชื่อตราสัญลักษณ์ “ศรีสวัสดิ์ เงินติดล้อ” ของบริษัทในส่วนของสินเชื่อบุคคลที่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันและชื่อเสียงที่ได้รับการยอมรับในกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงระบบการบริหารความเสี่ยงที่เข้มแข็ง ตลอดจนเครือข่ายสาขาที่กว้างขวางทั่วประเทศ และฐานลูกค้าของบริษัทที่กระจายตัวดีด้วย อันดับเครดิตของบริษัทได้รับการปรับเพิ่มขึ้นจากอันดับเครดิตเฉพาะของบริษัทซึ่งสะท้อนถึงการได้รับการสนับสนุนทั้งทางด้านธุรกิจและการเงินในฐานะที่เป็นบริษัทลูกที่ถือหุ้นทั้งหมดโดย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) อย่างไรก็ตาม การแข่งขันที่ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นของธุรกิจสินเชื่อเพื่อผู้บริโภคนับว่าเป็นข้อจำกัดต่ออันดับเครดิต อีกทั้งกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของบริษัทก็เป็นปัจจัยกดดันด้วยเช่นกันเนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาวะเศรษฐกิจ นอกจากนี้ อัตราการผิดนัดชำระหนี้ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นยังเป็นประเด็นที่จะต้องติดตามอย่างใกล้ชิดต่อไป และคาดหวังว่าบริษัทจะสามารถควบคุมให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะสามารถรักษาสถานะทางการตลาดและมีผลประกอบการที่น่าพอใจอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังคาดว่าบริษัทจะสามารถควบคุมคุณภาพสินเชื่อเอาไว้ในระดับที่ยอมรับได้ในขณะที่การสนับสนุนจากธนาคารแม่จะยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่องต่อไป
การปรับเพิ่มขึ้นของอันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจเกิดขึ้นได้หากบริษัทมีสถานะทางการตลาดที่ปรับตัวดีขึ้น รวมทั้งมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ยังคงผลประกอบการด้านการเงินที่เข้มแข็งได้อย่างต่อเนื่อง และควบคุมค่าใช้จ่ายทางด้านเครดิตไว้ในระดับที่ยอมรับได้ นอกจากนี้ ความสำคัญในเชิงกลยุทธ์ของบริษัทที่มีต่อธนาคารแม่ที่เพิ่มมากขึ้นก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่มีผลต่อการปรับเพิ่มอันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตด้วยเช่นกัน ในขณะที่การปรับลดอันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทอาจเกิดขึ้นได้หากมีปัจจัยที่จะลดทอนคุณภาพสินทรัพย์ สถานะในการแข่งขันของบริษัท รวมถึงการสนับสนุนจากธนาคารแม่ของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ
บริษัทเงินติดล้อมีชื่อเดิมว่าบริษัทซีเอฟจี เซอร์วิส และเปลี่ยนชื่อมาเป็นบริษัทเงินติดล้อในเดือนตุลาคม 2558 โดยปัจจุบันบริษัทจัดเป็นบริษัทย่อยในกลุ่ม Non-solo Consolidation ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในกลุ่มธุรกิจทางการเงินของธนาคารกรุงศรีอยุธยา จากสถานะของบริษัทซึ่งเป็นบริษัทย่อยของธนาคารกรุงศรีอยุธยา ทำให้บริษัทสามารถกู้ยืมเงินจากธนาคารในการขยายสินเชื่อของบริษัทได้ นอกจากนี้ บริษัทยังได้รับประโยชน์ในด้านอื่น ๆ จากการมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับธนาคาร ซึ่งรวมถึงการใช้ช่องทางในการแนะนำลูกค้าและระบบการจัดการสินเชื่อ บริษัทได้พัฒนาระบบปฏิบัติการต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องซึ่งรวมถึงระบบการจัดการความเสี่ยงและเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยได้รับการตรวจสอบและติดตามจากธนาคารแม่อย่างใกล้ชิดและได้รับการกำกับทางอ้อมจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ผ่านทางธนาคารแม่ด้วย
บริษัทให้บริการกู้ยืมแก่ลูกค้าที่มีรายได้ต่ำซึ่งไม่มีเอกสารที่เป็นทางการแสดงที่มาของรายได้หรือมีเพียงบางรายการโดยใช้ยานพานะเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน เช่น รถยนต์ รถกระบะ รถบรรทุก รถจักรยานยนต์ และรถทางการเกษตร เช่น รถแทรคเตอร์ ปัจจุบันบริษัทใช้ชื่อตราสัญลักษณ์ “ศรีสวัสดิ์ เงินติดล้อ” ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในกลุ่มลูกค้าเป้าหมายและในกลุ่มบริษัทที่เสนอผลิตภัณฑ์ทางการเงินประเภทสินเชื่อบุคคลโดยใช้ยานพาหนะเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน การอนุมัติสินเชื่อที่รวดเร็วเป็นกลยุทธ์หลักของบริษัทในการดึงดูดลูกค้า ความเสี่ยงของฐานลูกค้าของบริษัทลดทอนลงบางส่วนจากสินเชื่อที่มีขนาดเล็กและฐานลูกค้าที่มีอยู่ทั่วประเทศ นอกจากนี้ ความเสี่ยงดังกล่าวยังได้รับการควบคุมจากนโยบายการพิจารณาสินเชื่อและกระบวนการควบคุมและติดตามสินเชื่อที่แข็งแกร่งด้วย บริษัทยังได้ขยายฐานลูกค้าให้ครอบคลุมไปถึงกลุ่มผู้ประกอบการขนาดเล็กและขนาดย่อมซึ่งบริษัทจะได้ประโยชน์จากการประหยัดต่อขนาดในการให้สินเชื่อแก่ลูกค้ากลุ่มนี้อีกด้วยเช่นกัน
ความต้องการบริการทางการเงินจากกลุ่มลูกค้าที่ไม่มีหลักฐานรายได้ชัดเจนยังคงมีอยู่สูง ในขณะที่บริษัทสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนจากการสนับสนุนของธนาคารแม่ ทำให้สินเชื่อของบริษัทเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา กล่าวคือ สินเชื่อของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 1,673 ล้านบาทในปี 2552 เป็น 16,876 ล้านบาทในปี 2558 หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยสะสมต่อปีที่ 47% สินเชื่อของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 19,947 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนกันยายน 2559 (ยังไม่ได้ตรวจสอบโดยผู้สอบบัญชี) ทั้งนี้ ระบบปฏิบัติการของบริษัทจัดได้ว่ามีความเข้มแข็งและเพียงพอที่จะสนับสนุนธุรกิจของบริษัท
อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (สินเชื่อค้างชำระเกิน 90 วัน) ต่อสินเชื่อรวมของบริษัทลดลงจาก 1.8% ณ สิ้นปี 2554 ซึ่งเป็นปีที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยครั้งใหญ่ มาอยู่ที่ระดับ 0.6% ณ สิ้นปี 2555 อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนดังกล่าวค่อย ๆ เพิ่มขึ้นเป็น 1.3% ณ สิ้นปี 2558 แม้ว่าอัตราส่วนดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นแต่ก็ยังอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำ โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากฐานลูกค้าของบริษัทซึ่งโดยปกติมีความเสี่ยงด้านเครดิตที่ค่อนข้างสูง ณ สิ้นเดือนกันยายน 2559 อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 1.4% (ยังไม่ได้ตรวจสอบโดยผู้สอบบัญชี) ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายการตั้งสำรองที่ระมัดระวังโดยรักษาเกณฑ์อัตราส่วนสำรองหนี้สูญต่อสินเชื่อรวมขั้นต่ำที่ระดับ 6.25% ซึ่งอัตราส่วนดังกล่าวมากเพียงพอต่อระดับหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของบริษัทในปัจจุบันและเพียงพอที่จะลดทอนความเสี่ยงด้านเครดิตของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของบริษัทได้ ทริสเรทติ้งหวังว่าบริษัทจะสามารถควบคุมคุณภาพสินทรัพย์เอาไว้ในระดับที่ยอมรับได้ต่อไป
อัตราผลตอบแทนด้านดอกเบี้ยรับของบริษัทได้รับผลกระทบจากการแข่งขันโดยตรงจากคู่แข่ง รวมทั้งจากการเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบในหลักทรัพย์ค้ำประกันของฐานสินเชื่อรวม และจากการขยายสินเชื่อไปยังกลุ่มลูกค้าที่มีคุณภาพเครดิตที่เข้มแข็งขึ้น ส่งผลทำให้อัตราผลตอบแทนด้านดอกเบี้ยรับของบริษัทลดลงจาก 28.2% ในปี 2554 เป็น 19.9% ในปี 2558 ในขณะที่ต้นทุนทางการเงินอยู่ในระดับ 3.9%-5% ในช่วงเดียวกัน ทำให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยรับและดอกเบี้ยจ่ายลดลงจาก 23.8% ในปี 2554 เป็น 15.9% ในปี 2558 หากบริษัทสามารถควบคุมคุณภาพของสินเชื่อในปัจจุบันเอาไว้ได้ อัตราส่วนดอกเบี้ยรับและดอกเบี้ยจ่ายก็จะยังคงถือว่าสูงเพียงพอที่จะทำให้บริษัทมีผลประกอบการที่โดดเด่นต่อไปได้
กำไรสุทธิของบริษัทปรับตัวดีขึ้นจาก 147 ล้านบาทในปี 2554 เป็น 632 ล้านบาทในปี 2558 อัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยก็ปรับเพิ่มจาก 3.5% ในปี 2554 เป็น 4.2% ในปี 2555 และ 4.7% ในปี 2556 ในขณะที่อัตราส่วนดังกล่าวปรับตัวลดลงเล็กน้อยเป็น 4.3% ในปี 2557 และ 4.1% ในปี 2558 งบการเงินของบริษัทที่ยังไม่ได้ผ่านการตรวจสอบจากผู้สอบบัญชีระบุว่ากำไรสุทธิของบริษัทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2559 เท่ากับ 698 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30.2% จากช่วงเดียวกันของปี 2558 ในขณะที่อัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยก็ปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 5% (ปรับเป็นตัวเลขเต็มปีแล้ว)
บริษัทมีการจัดการสินทรัพย์และหนี้สินที่ดีภายใต้การควบคุมของธนาคารแม่ อีกทั้งยังมีความยืดหยุ่นทางการเงินที่ได้รับการสนับสนุนจากธนาคารแม่และจัดเป็นบริษัทย่อยในกลุ่ม Non-solo Consolidation ด้วย ซึ่งบริษัทที่ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มดังกล่าวจะมีข้อจำกัดในด้านการสนับสนุนทางการเงินที่จะได้รับจากธนาคารแม่ แม้ว่าจะมีข้อจำกัดดังกล่าว แต่ระดับวงเงินสินเชื่อสูงสุดที่จำกัดไว้ให้ธนาคารกรุงศรีอยุธยาสามารถให้แก่บริษัทได้ยังคงมากเพียงพอที่จะสนับสนุนการขยายธุรกิจของบริษัท ทั้งนี้ บริษัทได้ใช้ประโยชน์จากการสนับสนุนทางการเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยานับตั้งแต่มีสถานะเป็นบริษัทย่อยของธนาคารเป็นต้นมา
หลังจากการปรับโครงสร้างเงินทุนในปี 2552 ฐานทุนของบริษัทก็ปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากผลประกอบการที่แข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม การปรับเพิ่มขึ้นของฐานทุนนั้นยังไม่เพียงพอที่จะสนับสนุนการเติบโตที่ค่อนข้างมากของสินเชื่อ จึงส่งผลให้อัตราส่วนของส่วนของผู้ถือหุ้นต่อสินทรัพย์รวมของบริษัทลดลงจาก 29.1% ในปี 2552 เป็น 15% ณ สิ้นปี 2556
บริษัทได้เพิ่มความแข็งแกร่งของฐานทุนผ่านการเพิ่มทุนในช่วงที่ผ่านมา โดยหลังจากธนาคารกรุงศรีอยุธยาซึ่งเป็นบริษัทแม่ของบริษัทได้เปลี่ยนสถานะมาเป็นธนาคารพาณิชย์ที่มีผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นชาวต่างชาติ สถานะของบริษัทก็เปลี่ยนมาเป็นบริษัทต่างชาติด้วยเช่นกัน โดยภายใต้พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวกำหนดให้บริษัทต้องดำรงฐานทุนที่เพียงพอเพื่อรักษาอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนไม่ให้ต่ำกว่า 7 เท่า ทั้งนี้ ในเดือนพฤษภาคม 2557 บริษัทได้เพิ่มทุนอีก 1,800 ล้านบาท การปรับโครงสร้างเงินทุนดังกล่าวช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้แก่อัตราส่วนของส่วนของผู้ถือหุ้นต่อสินทรัพย์รวมของบริษัทให้เพิ่มขึ้นเป็น 24.9% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2557 อัตราส่วนดังกล่าวยังดำรงอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูงที่ 23.6% ณ สิ้นปี 2557 ต่อมาในไตรมาสที่ 3 ของปี 2558 บริษัทได้เพิ่มทุนอีก 300 ล้านบาท จากการขยายธุรกิจผ่านการกู้ยืมทำให้อัตราส่วนของส่วนของผู้ถือหุ้นต่อสินทรัพย์รวมของบริษัทลดลงอย่างต่อเนื่องเป็น 22.7% ณ สิ้นปี 2558 และ 17.9% ณ สิ้นเดือนกันยายน 2559 ทั้งนี้ การสนับสนุนทางการเงินอย่างต่อเนื่องจากธนาคารกรุงศรีอยุธยาช่วยลดความกังวลเกี่ยวกับการด้อยลงของอัตราส่วนทางด้านโครงสร้างเงินทุนของบริษัทลงได้
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com ติดต่อ santaya@trisrating.com โทร. 0-2231-3011 ต่อ 500 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500 ? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2560 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html