ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “A-” ด้วยแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” โดยอันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงสถานะของบริษัทในการเป็นบริษัทลูกที่เป็นธุรกิจหลักสำคัญของธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) (ได้รับอันดับเครดิต “A-/Stable” จากทริสเรทติ้ง) เนื่องจาก บล. ภัทร สร้างผลกำไรอย่างมีนัยสำคัญและมีความใกล้ชิดกับกลุ่มธุรกิจเกียรตินาคินภัทรเป็นอย่างมาก อันดับเครดิตดังกล่าวยังสะท้อนถึงพื้นฐานทางธุรกิจที่แข็งแกร่งของบริษัทในธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ในกลุ่มลูกค้าสถาบันและลูกค้าบุคคลรายใหญ่ ตลอดจนความเป็นผู้นำในธุรกิจวาณิชธนกิจและภาพลักษณ์ที่ดีจากประสบการณ์อันยาวนานด้วย อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตก็มีข้อจำกัดจากความผันผวนของธุรกิจหลักทรัพย์และแรงกดดันต่ออัตราค่าธรรมเนียมนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์จากสถานการณ์การแข่งขันที่รุนแรงในอุตสาหกรรม ในขณะเดียวกัน การซื้อขายหลักทรัพย์ในบัญชีของบริษัทซึ่งทำให้บริษัทมีความเสี่ยงต่อความผันผวนของราคาหลักทรัพย์ในตลาดก็มีผลต่ออันดับเครดิตด้วยเช่นกัน
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่า บล. ภัทรจะสามารถคงความเป็นผู้นำในธุรกิจวาณิชกิจและธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์เอาไว้ได้ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรง นอกจากนี้ ยังคาดว่าบริษัทจะสามารถควบคุมความเสี่ยงซึ่งแฝงอยู่ในธุรกิจการลงทุนและผลิตภัณฑ์ทางการเงินต่าง ๆ ได้ด้วยเช่นเดียวกัน แนวโน้มที่อันดับเครดิตของ บล. ภัทรจะปรับเพิ่มขึ้นหรือลดลงนั้นขึ้นอยู่กับสถานะเครดิตของบริษัทแม่คือธนาคารเกียรตินาคินเป็นสำคัญ
ธนาคารเกียรตินาคินได้กลายมาเป็นบริษัทแม่ของ บล. ภัทรในเดือนกันยายน 2555 หลังจากที่ธนาคารได้เข้ามาถือหุ้นในสัดส่วน 99.9% ใน บริษัท ทุนภัทร จำกัด (มหาชน) ซึ่งบริษัททุนภัทรถือหุ้นของบริษัทในสัดส่วน 99.9% บล. ภัทรได้รับการสนับสนุนทั้งทางด้านธุรกิจและด้านการเงินจากธนาคารเกียรตินาคินอีกทั้งยังได้ขยายฐานลูกค้าโดยใช้ฐานลูกค้าของธนาคารด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกค้าที่มีฐานะการเงินที่ดี ทั้งนี้ การเป็นบริษัทลูกของธนาคารเกียรตินาคินทำให้บริษัทได้รับวงเงินสินเชื่อจำนวนมาก ซึ่งแหล่งเงินทุนเพิ่มเติมนี้ช่วยเพิ่มความคล่องตัวในการดำเนินงานให้แก่ บล. ภัทร นอกจากนี้ บล. ภัทรยังสร้างกำไรได้มากถึง 1 ใน 4 ของกำไรสุทธิของธนาคารเกียรตินาคินโดยเฉลี่ยในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาซึ่งถือเป็นการสร้างกำไรให้แก่กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทรในสัดส่วนที่มีนัยสำคัญ ทริสเรทติ้งจึงถือว่า บล. ภัทรมีสถานะเป็นสมาชิกหลักของกลุ่ม
บล. ภัทรมีฐานลูกค้านักลงทุนสถาบันและมีโครงสร้างธุรกิจที่เข้มแข็งในธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ การเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับ Bank of America Merrill Lynch (ML) ช่วยให้บริษัทได้ใช้ประโยชน์จากแหล่งข้อมูล รวมทั้งความเชี่ยวชาญ และเครือข่ายนักลงทุนทั่วโลกของ ML งานวิจัยของบริษัทก็ได้รับการยอมรับในด้านคุณภาพระดับแนวหน้าของประเทศ ทั้งนี้ ส่วนแบ่งทางการตลาดของธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัทในส่วนของนักลงทุนสถาบันในประเทศและต่างประเทศในปี 2559 ยังอยู่ในระดับสูงที่ 9.6% และ 9.1% ตามลำดับ
จุดแข็งอีกประการหนึ่งของบริษัทคือการให้บริการที่ปรึกษาการลงทุนซึ่งบริษัทเน้นลูกค้าบุคคลรายใหญ่โดยมีทางเลือกการลงทุนที่หลากหลายครอบคลุมสินทรัพย์ประเภทต่าง ๆ ทั้งนี้ การให้บริการที่แตกต่างทำให้บริษัทสามารถหลีกเลี่ยงการแข่งขันด้านราคากับบริษัทหลักทรัพย์อื่นได้
บล. ภัทรมีประสบการณ์ในด้านวาณิชธนกิจในประเทศไทยมาอย่างยาวนาน บริษัทมีความสัมพันธ์ทางธุรกิจที่แน่นแฟ้นกับบริษัทขนาดใหญ่จำนวนมากอีกทั้งยังมีเครือข่ายให้บริการครอบคลุมทั้งตลาดภายในประเทศและต่างประเทศที่เข้มแข็งอีกด้วย รายได้จากธุรกิจวาณิชธนกิจของบริษัทตลอดช่วง 5 ปีที่ผ่านมาอยู่ในระดับเฉลี่ย 277 ล้านบาทต่อปี (คิดเป็นส่วนแบ่งทางการตลาดราว 14%) ภายหลังการควบรวมกิจการกับธนาคารเกียรตินาคินทำให้ปัจจุบันบริษัทสามารถให้บริการทางการเงินที่ครบถ้วนมากยิ่งขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการในการระดมทุนของลูกค้า การควบรวมดังกล่าวจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ธุรกิจวาณิชธนกิจของบริษัทต่อไปในระยะยาว
บริษัทได้มีการขยายวงเงินในธุรกิจการลงทุนเพิ่มขึ้น ซึ่งแม้ว่ากลยุทธ์การลงทุนของบริษัทจะมีลักษณะที่มีความเสี่ยงต่ำและไม่ผันผวนตามการเคลื่อนไหวของตลาดโดยรวม แต่การเพิ่มขึ้นของธุรกรรมที่มีความเสี่ยงแฝงอยู่เหล่านี้ย่อมเป็นปัจจัยที่กระทบต่อความเสี่ยงโดยรวมของบริษัท ทริสเรทติ้ง คาดหวังว่าระบบบริหารจัดการความเสี่ยงของบริษัทจะยังคงมีประสิทธิภาพเพียงพอที่จะป้องกันความเสี่ยงที่เกิดจากธุรกิจการลงทุนของบริษัทได้
ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง ในปี 2559 บริษัทมีกำไรสุทธิ 828 ล้านบาท ลดลง 21% จากกำไรสุทธิในปี 2558 ที่ระดับ 1,052 ล้านบาท ในขณะที่กำไรเฉลี่ยของทั้งอุตสาหกรรมในปี 2559 เพิ่มขึ้นประมาณ 19% แม้ว่าบริษัทจะมีอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิที่ลดลงเมื่อเทียบกับคู่แข่งในอุตสาหกรรม แต่บริษัทก็ยังมีอัตรากำไรก่อนภาษีต่อรายได้สุทธิที่ 39% ซึ่งสูงกว่าอุตสาหกรรมที่อยู่ที่ระดับ 30% นอกจากนี้ บริษัทยังมีอัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่อรายได้สุทธิอยู่ในระดับ 49% ในปี 2559 เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่ระดับ 60%
ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2559 บล. ภัทรมีส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 5,799 ล้านบาท ซึ่งทำให้บริษัทจัดอยู่ในกลุ่มบริษัทหลักทรัพย์ที่มีฐานเงินทุนขนาดใหญ่ 3 อันดับแรก แม้จะมีฐานเงินทุนขนาดใหญ่ แต่บริษัทก็จัดว่าเป็นบริษัทหลักทรัพย์ที่มีอัตราส่วนสินทรัพย์รวมต่อทุนที่สูงมากที่สุดแห่งหนึ่ง ทั้งนี้ การเพิ่มขึ้นของอัตราส่วนนี้มาจากการขยายธุรกิจการลงทุนและการป้องกันความเสี่ยงจากผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่บริษัทให้บริการแก่ลูกค้า ณ สิ้นปี 2559 บริษัทมีอัตราส่วนเงินกองทุนสภาพคล่องสุทธิต่อหนี้สินทั่วไปอยู่ที่ 32% โดยเทียบกับเกณฑ์ขั้นต่ำของทางการที่ระดับ 7%
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com ติดต่อ santaya@trisrating.com โทร. 0-2231-3011 ต่อ 500 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500 ? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2560 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html