เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2544 บริษัท ไทยเรทติ้งแอนด์อินฟอร์เมชั่นเซอร์วิส จำกัด (ทริส) ได้ประกาศอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่มีประกันมูลค่า 2,500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2549 และหุ้นกู้ไม่มีประกัน 500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2551 ของบริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ "A-" เท่ากัน ซึ่งมูลค่ารวมของหุ้นกู้ดังกล่าวเท่ากับ 3,000 ล้านบาทยังไม่รวมการจัดสรรหลักทรัพย์ส่วนเกินจากที่จัดจำหน่าย (Greenshoe) ทั้งนี้ อันดับเครดิตสะท้อนสถานะทางการตลาดที่แข่งแกร่งในธุรกิจถ่านหิน ทีมผู้บริหารที่มีความเชี่ยวชาญ และการกระจายความเสี่ยงในการลงทุนในธุรกิจไฟฟ้าของบริษัท ในขณะเดียวกันจุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนจากภาวะการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดถ่านหินนำเข้าและความเสี่ยงทางการเมืองที่สูงจากการลงทุนในประเทศอินโดนีเซีย ทริสรายงานว่าบ้านปูเริ่มดำเนินธุรกิจถ่านหินในปี 2526 โดยกลุ่มตระกูลว่องกุศลกิจและเอื้ออภิญญกุล และเป็นผู้นำในตลาดถ่านหินของประเทศ โดยในปี 2543 มีส่วนแบ่งตลาด 39% ของตลาดรวมของผู้ประกอบธุรกิจถ่านหินภาคเอกชน ประสบการณ์ในธุรกิจถ่านหินนาน 20 ปีส่งผลให้บริษัทมีทีมผู้บริหารที่เชี่ยวชาญซึ่งช่วยให้สามารถดำเนินธุรกิจถ่านหินในต่างประเทศได้ โดยบริษัทได้เริ่มดำเนินงานเหมืองถ่านหินที่ Jorong ในประเทศอินโดนีเซียตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2541 ปัจจุบันภาวะการแข่งขันเริ่มทวีความรุนแรงขึ้นจากถ่านหินนำเข้าซึ่งมีค่าความร้อนที่สูงกว่าและมีปริมาณซัลเฟอร์ที่ต่ำกว่าถ่านหินในประเทศ
ทริสกล่าวว่ากลยุทธ์ในการจัดหาปริมาณสำรองถ่านหินของบ้านปูยังคงเน้นการซื้อแหล่งถ่านหินที่มีคุณภาพสูงในประเทศอินโดนีเซียนอกจากการลงทุนในเหมือง Jorong แล้ว บริษัทยังเพิ่มปริมาณสำรองถ่านหินในประเทศอินโดนีเซียโดยให้เงินกู้แปลงสภาพประมาณ 54 ล้านดอลลาร์สหรัฐแก่บริษัทที่ดำเนินธุรกิจถ่านหินในอินโดนีเซียคือ PT. Centralink Wisesa International เพื่อซื้อเหมืองถ่านหิน 4 เหมืองในประเทศอินโดนีเซียในเดือนมีนาคม 2544 เงินกู้ดังกล่าวสามารถแปลงสภาพเป็นหุ้นทุนได้ใo อนาคตเมื่อบริษัทได้รับสิทธิทางกฎหมายให้สามารถถือหุ้นบริษัทในประเทศอินโดนีเซียได้ เมื่อรวมการลงทุนดังกล่าวแล้วจะทำให้บริษัทมีกำลังการผลิตถ่านหินเพิ่มขึ้นจาก 6.4 ล้านตันต่อปีในปัจจุบันเป็น 11.4 ล้านตันต่อปี อย่างไรก็ตาม ทริสเห็นว่าการขยายการลงทุนดังกล่าวในประเทศอินโดนีเซียส่งผลให้บริษัทมีโครงสร้างทางการเงินในส่วนของเงินกู้ที่สูงขึ้นและมีความเสี่ยงจากความไม่มีเสถียรภาพทางการเมืองของประเทศอินโดนีเซีย
บริษัทยังได้ขยายธุรกิจไปลงทุนในโครงการผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระ (ไอพีพี) โดยมีโครงการที่เข้าร่วมพัฒนา 2 โครงการซึ่งประกอบด้วยโรงไฟฟ้าแบบ Gas-fired Combined Cycle ขนาด 700 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าแบบ Coal-fired ขนาด 1,347 เมกะวัตต์ โครงการดังกล่าวดำเนินงานภายใต้บริษัทร่วมทุน คือ บริษัท ไตรเอ็นเนอจี้ จำกัด และบริษัท บีแอลซีพี พาวเวอร์ จำกัด ตามลำดับ บริษัท ไตรเอ็นเนอจี้ จำกัด เป็นโครงการไอพีพีภาคเอกชนรายแรกที่เปิดดำเนินการในประเทศไทยตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2543 ส่วนบริษัท บีแอลซีพี พาวเวอร์ จำกัด ได้ถูกเลื่อนวันจัดส่งไฟฟ้าไปเป็นเดือนตุลาคม 2549 ซึ่งโครงการนี้จะใช้เงินลงทุนทั้งสิ้นประมาณ 1,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยต้องใช้เงินทุนจากผู้ถือหุ้นในช่วงปี 2546 - 2549 นอกจากนี้ บริษัทยังได้ถือหุ้น 12.4% ในบริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) ซึ่งทริสเห็นว่าจะสร้างกระแสเงินที่สม่ำเสมอให้แก่บริษัทในอนาคต
อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อยอดขายของบริษัทลดลงจาก 37.5% ในปี 2542 เป็น 32.2% ในปี 2543 เนื่องจากบริษัทมีสัดส่วนของยอดขายจากถ่านหินนำเข้ามากขึ้นซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ต่ำกว่าถ่านหินภายในประเทศ อัตราผลตอบแทนต่อเงินทุนถาวรของบริษัทลดลงจาก 11.0% ในปี 2542 เป็น 1.6% ในปี 2543 อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินรวมเพิ่มขึ้นจาก 11.0% ในปี 2541 เป็น 15.2% ในปี 2543 เนื่องจากภาระหนี้ลดลงจาก 8,217 ล้านบาท เป็น 6,463 ล้านบาทในช่วงเวลาดังกล่าว อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายเพิ่มจาก 1.6 เท่าในปี 2541 เป็น 3.1 เท่าในปี 2543 ในขณะที่อัตราส่วนหนี้สินรวมต่อโครงสร้างเงินทุนดีขึ้นจาก 64.3% ในปี 2541 เป็น 49.5% ในปี 2543 นอกจากนี้ ทริสคาดว่ารายได้ที่สม่ำเสมอจากการลงทุนในธุรกิจไฟฟ้าจะก่อให้เกิดกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอ ซึ่งจะช่วยเสริมฐานะการเงินของบริษัทให้ดีขึ้นในระยะปานกลาง -- จบ
ทริสกล่าวว่ากลยุทธ์ในการจัดหาปริมาณสำรองถ่านหินของบ้านปูยังคงเน้นการซื้อแหล่งถ่านหินที่มีคุณภาพสูงในประเทศอินโดนีเซียนอกจากการลงทุนในเหมือง Jorong แล้ว บริษัทยังเพิ่มปริมาณสำรองถ่านหินในประเทศอินโดนีเซียโดยให้เงินกู้แปลงสภาพประมาณ 54 ล้านดอลลาร์สหรัฐแก่บริษัทที่ดำเนินธุรกิจถ่านหินในอินโดนีเซียคือ PT. Centralink Wisesa International เพื่อซื้อเหมืองถ่านหิน 4 เหมืองในประเทศอินโดนีเซียในเดือนมีนาคม 2544 เงินกู้ดังกล่าวสามารถแปลงสภาพเป็นหุ้นทุนได้ใo อนาคตเมื่อบริษัทได้รับสิทธิทางกฎหมายให้สามารถถือหุ้นบริษัทในประเทศอินโดนีเซียได้ เมื่อรวมการลงทุนดังกล่าวแล้วจะทำให้บริษัทมีกำลังการผลิตถ่านหินเพิ่มขึ้นจาก 6.4 ล้านตันต่อปีในปัจจุบันเป็น 11.4 ล้านตันต่อปี อย่างไรก็ตาม ทริสเห็นว่าการขยายการลงทุนดังกล่าวในประเทศอินโดนีเซียส่งผลให้บริษัทมีโครงสร้างทางการเงินในส่วนของเงินกู้ที่สูงขึ้นและมีความเสี่ยงจากความไม่มีเสถียรภาพทางการเมืองของประเทศอินโดนีเซีย
บริษัทยังได้ขยายธุรกิจไปลงทุนในโครงการผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระ (ไอพีพี) โดยมีโครงการที่เข้าร่วมพัฒนา 2 โครงการซึ่งประกอบด้วยโรงไฟฟ้าแบบ Gas-fired Combined Cycle ขนาด 700 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าแบบ Coal-fired ขนาด 1,347 เมกะวัตต์ โครงการดังกล่าวดำเนินงานภายใต้บริษัทร่วมทุน คือ บริษัท ไตรเอ็นเนอจี้ จำกัด และบริษัท บีแอลซีพี พาวเวอร์ จำกัด ตามลำดับ บริษัท ไตรเอ็นเนอจี้ จำกัด เป็นโครงการไอพีพีภาคเอกชนรายแรกที่เปิดดำเนินการในประเทศไทยตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2543 ส่วนบริษัท บีแอลซีพี พาวเวอร์ จำกัด ได้ถูกเลื่อนวันจัดส่งไฟฟ้าไปเป็นเดือนตุลาคม 2549 ซึ่งโครงการนี้จะใช้เงินลงทุนทั้งสิ้นประมาณ 1,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยต้องใช้เงินทุนจากผู้ถือหุ้นในช่วงปี 2546 - 2549 นอกจากนี้ บริษัทยังได้ถือหุ้น 12.4% ในบริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) ซึ่งทริสเห็นว่าจะสร้างกระแสเงินที่สม่ำเสมอให้แก่บริษัทในอนาคต
อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อยอดขายของบริษัทลดลงจาก 37.5% ในปี 2542 เป็น 32.2% ในปี 2543 เนื่องจากบริษัทมีสัดส่วนของยอดขายจากถ่านหินนำเข้ามากขึ้นซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ต่ำกว่าถ่านหินภายในประเทศ อัตราผลตอบแทนต่อเงินทุนถาวรของบริษัทลดลงจาก 11.0% ในปี 2542 เป็น 1.6% ในปี 2543 อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินรวมเพิ่มขึ้นจาก 11.0% ในปี 2541 เป็น 15.2% ในปี 2543 เนื่องจากภาระหนี้ลดลงจาก 8,217 ล้านบาท เป็น 6,463 ล้านบาทในช่วงเวลาดังกล่าว อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายเพิ่มจาก 1.6 เท่าในปี 2541 เป็น 3.1 เท่าในปี 2543 ในขณะที่อัตราส่วนหนี้สินรวมต่อโครงสร้างเงินทุนดีขึ้นจาก 64.3% ในปี 2541 เป็น 49.5% ในปี 2543 นอกจากนี้ ทริสคาดว่ารายได้ที่สม่ำเสมอจากการลงทุนในธุรกิจไฟฟ้าจะก่อให้เกิดกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอ ซึ่งจะช่วยเสริมฐานะการเงินของบริษัทให้ดีขึ้นในระยะปานกลาง -- จบ