ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตองค์กร “บ. อมตะ คอร์ปอเรชัน” ที่ “A” ด้วยแนวโน้ม “Stable”

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday June 27, 2017 18:45 —ทริส เรตติ้ง

ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “A” โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงผลงานที่ได้รับการยอมรับของบริษัทในธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม รวมทั้งฐานรายได้ประจำจากธุรกิจให้บริการสาธารณูปโภคและกำไรจากการลงทุนในธุรกิจผลิตไฟฟ้า อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตถูกลดทอนบางส่วนจากความผันผวนของธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม รวมถึงความเสี่ยงของประเทศและความเสี่ยงด้านกฎระเบียบที่กระทบต่อการดำเนินธุรกิจในประเทศเวียดนาม

บริษัทอมตะ คอร์ปอเรชัน เป็นหนึ่งในผู้นำธุรกิจพัฒนานิคมอุตสาหกรรมของไทยซึ่งก่อตั้งในปี 2532 โดยนายวิกรม กรมดิษฐ์ บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2540 และนับตั้งแต่เริ่มก่อตั้งตระกูลกรมดิษฐ์เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่และมีส่วนในการบริหารบริษัทมาโดยตลอด ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2560 ตระกูลกรมดิษฐ์ถือหุ้นในสัดส่วนประมาณ 21.8% ของหุ้นทั้งหมดของบริษัท นอกเหนือจากการขายที่ดินและให้บริการสาธารณูปโภคในนิคมอุตสาหกรรมแล้ว บริษัทยังได้ลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าด้วย ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาโดยเฉลี่ยรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 60% ของรายได้รวมต่อปี ส่วนรายได้ที่เหลือ 40% เป็นรายได้ประจำซึ่งส่วนใหญ่มาจากบริการสาธารณูปโภคและรายได้จากค่าเช่าโรงงาน

บริษัทเป็นเจ้าของและบริหารนิคมอุตสาหกรรม 3 แห่งซึ่งตั้งอยู่ในเขตจังหวัดชลบุรีและระยอง โดยมีพื้นที่รวมทั้งหมด 43,962 ไร่ ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2560 บริษัทมีที่ดินพร้อมสำหรับการขายรวมจำนวน 3,549 ไร่ โดย 80% ของที่ดินดังกล่าวอยู่ในเขตจังหวัดระยอง นอกจากนี้ บริษัทยังมีที่ดินเปล่ารอการพัฒนาอีกจำนวน 7,338 ไร่ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในเขตจังหวัดชลบุรี นิคมอุตสาหกรรมอมตะนครของบริษัทในจังหวัดชลบุรีมีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับในเรื่องทำเลที่ตั้งที่ดีโดยมีระยะห่างจากกรุงเทพฯ จากท่าเรือแหลมฉบังและจากสนามบินสุวรรณภูมิประมาณ 50-60 กิโลเมตร (กม.) เท่านั้น การมีทำเลที่น่าดึงดูดใจดังกล่าวส่งผลให้บริษัทมีผลกำไรที่สูงจากการขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมแห่งนี้ นอกเหนือจากการลงทุนในประเทศไทยแล้ว บริษัทยังได้เข้าไปลงทุนในประเทศเวียดนามตั้งแต่ปี 2537 ด้วย โดยช่วงแรกบริษัทร่วมมือกับ Sonadezi Corporation ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจผู้พัฒนานิคมอุตสาหกรรมและพื้นที่อยู่อาศัยในประเทศเวียดนาม นิคมอุตสาหกรรมแห่งแรกของบริษัทในประเทศเวียดนามคือ Amata City (Bien Hoa) (ACBH) นั้นตั้งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศในเมือง Bien Hoa จังหวัด Dong Nai ACBH ห่างจาก Ho Chi Minh City 30 กม. และห่างจากสนามบินและท่าเรือประมาณ 35-50 กม. บริษัทได้รับอนุมัติ จาก Dong Nai Industrial Zone Authority (DIZA) ในการเช่าที่ดินขนาด 532 เฮกตาร์ (หรือ 3,325 ไร่) เป็นระยะเวลา 50 ปีเพื่อดำเนินโครงการ ACBH ผ่านทางบริษัทย่อย ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2560 โครงการมีพื้นที่เหลือสำหรับการขายประมาณ 47.3 เฮกตาร์ (หรือ 295.6 ไร่) DIZA ยังได้อนุมัติให้บริษัทเช่าที่ดินบนเนื้อที่ 1,270 เฮกตาร์ (หรือ 7,940 ไร่) ในเมือง Long Thanh เป็นระยะเวลา 50 ปีอีกโครงการหนึ่ง โครงการนิคมอุตสาหกรรมใหม่ในเมือง Long Thanh ห่างจาก ACBH ประมาณ 20 กม. นอกจากนี้ บริษัทยังกำลังอยู่ระหว่างการยื่นขออนุมัติใบอนุญาตลงทุนเพื่อพัฒนาที่ดินขนาด 709 เฮกตาร์ในเมือง Halong จังหวัด Quang Ninh ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศเวียดนามอีกด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ ในช่วงปี 2558-2559 รายได้จากการขายที่ดินในประเทศเวียดนามคิดเป็น 10%-16% ของรายได้จากการขายที่ดินทั้งหมดของบริษัทในแต่ละปี

ความต้องการที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมมีความผันผวนและขึ้นอยู่กับสภาพเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก ความต้องการที่ดินในเขตภาคตะวันออกของไทยเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากในปี 2555 ซึ่งเป็นช่วงหลังวิกฤติอุทกภัยและจากผลของการขยายกำลังการผลิตในอุตสาหกรรมยานยนต์ ยอดขายที่ดินของบริษัทเพิ่มขึ้นถึงระดับสูงสุดที่ 3,368 ไร่ในปี 2555 และ 1,204 ไร่ในปี 2556 เทียบกับค่าเฉลี่ย 1,100 ไร่ในช่วงปี 2551-2554 อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจที่ชะลอตัวในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาส่งผลลบต่อความต้องการลงทุนและกระทบต่อยอดขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมทั่วประเทศ จากรายงานของ CB Richard Ellis (CBRE) ระบุว่ายอดขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมในประเทศไทยลดลงจาก 4,746 ไร่ในปี 2556 มาอยู่ที่ระดับเฉลี่ยที่ 1,700 ไร่ต่อปีในช่วงปี 2558-2559 ยอดขายที่ดินของบริษัทก็ลดลงด้วยเช่นกัน โดยลดลงเหลือ 368 ไร่ในปี 2557 และประมาณ 600 ไร่ต่อปีในช่วงปี 2558-2559 แม้ว่ายอดขายที่ดินจะลดลง แต่บริษัทก็ยังคงเป็นหนึ่งในผู้นำในธุรกิจพัฒนานิคมอุตสาหกรรมของประเทศ โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 28% ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาเมื่อพิจารณาจากยอดขายที่ดินรวมในประเทศ ทั้งนี้ บริษัทที่มีการขายที่ดินมากที่สุดคือ บริษัท เหมราชพัฒนาที่ดิน จำกัด (มหาชน) (35%) และบริษัทที่ขายที่ดินมากเป็นอันดับสามคือ บริษัท สวนอุตสาหกรรมโรจนะ จำกัด (มหาชน) (19%)

รายได้รวมของบริษัทมีความผันผวนและขึ้นอยู่กับยอดขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรม อย่างไรก็ตาม ความผันผวนของผลประกอบการได้รับการบรรเทาบางส่วนจากรายได้ประจำจากธุรกิจให้บริการสาธารณูปโภคและกำไรจากการลงทุนในโรงไฟฟ้า ในปี 2559 รายได้จากการโอนที่ดินของบริษัทเท่ากับ 2,187 ล้านบาท ลดลง 28.7% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า รายได้ประจำของบริษัทซึ่งมีสัดส่วนคิดเป็น 40%-50% ของรายได้รวมมีจำนวนเท่ากับ 2,297 ล้านบาทในปี 2559 โดยปรับตัวเพิ่มขึ้น 9.3% จากปีก่อนหน้า ส่งผลให้รายได้รวมของบริษัทลดลงพียง 13.2% จากปีก่อนหน้ามาอยู่ที่ระดับ 4,484 ล้านบาทในปี 2559 บริษัทมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายเพิ่มขึ้นจาก 32.5% ในปี 2558 มาอยู่ที่ระดับ 42.9% ในปี 2559 อัตรากำไรที่เพิ่มขึ้นมากนั้นมาจากการเพิ่มขึ้นของสัดส่วนการขายที่ดินที่มีกำไรสูงในเขตจังหวัดชลบุรีและการปรับเพิ่มราคาของค่าสาธารณูปโภค กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายของบริษัทในปี 2559 ลดลงเพียง 14% จากระดับ 2,903 ล้านบาทในปี 2558 มาอยู่ที่ 2,496 ล้านบาท แม้ว่ากำไรในปี 2558 จะรวมกำไรจากการขายสินทรัพย์โรงงานให้เช่าแก่กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์จำนวน 857 ล้านบาทแล้วก็ตาม

ในไตรมาสแรกของปี 2560 รายได้ของบริษัทค่อนข้างนิ่งอยู่ที่ระดับ 775 ล้านบาท เทียบกับ 787 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายอยู่ที่ 470 ล้านบาทในไตรมาสแรกของปี 2560 เพิ่มขึ้น 54.5% จาก 304 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปี 2559 การเพิ่มขึ้นของกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายมาจากสาเหตุหลักคือกำไรที่เพิ่มขึ้นจากการลงทุนในโรงไฟฟ้าใหม่ๆ ที่เริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ในช่วงที่ผ่านมา ปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนการลงทุนในกลุ่มโรงไฟฟ้าที่ระดับ 15%-27% ต่อโรง กลุ่มโรงไฟฟ้าดังกล่าวดำเนินงานโดย บริษัท บี. กริม เพาเวอร์ จำกัด ภายใต้โครงการผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (Small Power Producer -- SPP) โดยกำลังการผลิตติดตั้งของโรงไฟฟ้าตามสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัทรวมอยู่ที่ 133 เมกะวัตต์ ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2560 และจะเพิ่มขึ้นเป็น 228 เมกะวัตต์ ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2561 กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายจากการลงทุนในโรงไฟฟ้าเท่ากับ 110 ล้านบาทในปี 2559 และจะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 300 ล้านบาทต่อปีเมื่อโรงไฟฟ้าทั้งหมดที่บริษัทลงทุนดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ครบทุกหน่วย

อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงโครงสร้างเงินทุนที่แข็งแกร่งของบริษัท โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาเงินกู้รวมของบริษัทอยู่ระหว่าง 6,300-7,700 ล้านบาท อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องจากระดับ 44.3% ในปี 2555 มาอยู่ที่ 30.5% ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2560 สภาพคล่องของบริษัทอยู่ในเกณฑ์ที่ดี โดยในช่วง 5 ปี ที่ผ่านมาอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมของบริษัทอยู่ที่ระดับ 26%-39% และอัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายอยู่ที่ระดับ 7-10 เท่า แม้ว่ายอดขายที่ดินจะอ่อนตัวลง แต่อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมยังคงอยู่ในระดับน่าพอใจที่ระดับ 26.3% ในปี 2559 และ 28.6% ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2560 (ปรับอัตราส่วนให้เป็นตัวเลขเต็มปีด้วยตัวเลข 12 เดือนย้อนหลัง) ในขณะที่อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายอยู่ในเณฑ์ดีที่ระดับ 9.4 เท่าในปี 2559 และ 8.5 เท่าในช่วงไตรมาสแรกของปี 2560

ภายใต้สมมติฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าในปี 2560-2562 รายได้ของบริษัทจะอยู่ที่ระดับ 4,800-6,000 ล้านบาทต่อปี เงินทุนจากการดำเนินงานจะอยู่ที่ 1,600-1,800 ล้านบาทต่อปี เพื่อให้เป็นไปตามกลยุทธ์การเติบโต บริษัทและบริษัทย่อยมีแผนการลงทุนจำนวนมากโดยส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในที่ดินและค่าพัฒนาที่ดินในประเทศไทยรวมถึงนิคมอุตสาหกรรมแห่งใหม่ในเมือง Long Thanh และเมือง Halong ในประเทศเวียดนาม โดยบริษัทมีแผนการลงทุนรวมจำนวน 12,000 ล้านบาทในช่วงระยะเวลา 3 ปีข้างหน้า ถึงแม้จะมีการลงทุนจำนวนมากแต่ก็คาดว่าบริษัทจะสามารถรักษาอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนให้อยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 45% และอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมจะไม่ต่ำกว่า 15% ในช่วงระยะเวลา 3 ปีข้างหน้า สภาพคล่องของบริษัทถือว่าอยู่ในระดับเพียงพอ เงินกู้ที่จะครบกำหนดชำระในช่วง 12 เดือนข้างหน้าประกอบด้วยเงินกู้ระยะสั้นรวม 887 ล้านบาทและเงินกู้ระยะยาวรวม 1,717 ล้านบาท ซึ่งบริษัทมีกำไรจากการดำเนินงาน เงินสดและวงเงินทุนหมุนเวียน รองรับกำหนดชำระคืนหนี้ดังกล่าวได้ ทั้งนี้ ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2560 บริษัทมีวงเงินกู้ยืมสำหรับใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนที่ยังไม่เบิกใช้จำนวน 2,373 ล้านบาท รวมถึงเงินทุนจากการดำเนินงานจำนวน 1,700 ล้านบาทต่อปี และเงินสดหรือรายการเทียบเท่าเงินสดและหลักทรัพย์ในความต้องการของตลาดรวมแล้วที่จำนวนอีก 1,117 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2560

แนวโน้มอันดับเครดิต

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงความคาดหมายว่าบริษัทจะยังคงสามารถรักษาความเป็นผู้นำในธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมต่อไปได้ รายได้ประจำจากธุรกิจบริการสาธารณูปโภค เงินปันผลจากธุรกิจผลิตไฟฟ้า และรายได้ค่าเช่าโรงงานอุตสาหกรรมจะช่วยลดความเสี่ยงในการดำเนินงานให้แก่บริษัทบางส่วนในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัว

อันดับเครดิตของบริษัทอาจถูกปรับลดลงหากการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงหรือความต้องการในการลงทุนที่อ่อนตัวลงมีผลกระทบทำให้รายได้และกระแสเงินสดจากการดำเนินงานของบริษัทอ่อนแอลงกว่าที่คาด ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตอาจมีการปรับเพิ่มขึ้นหากกระแสเงินสดของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญอย่างต่อเนื่องโดยที่บริษัทยังสามารถรักษาโครงสร้างทางการเงินที่แข็งแกร่งเอาไว้ได้

บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) (AMATA)
อันดับเครดิตองค์กร A
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ santaya@trisrating.com  โทร. 0-2231-3011 ต่อ 500 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2560 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ